วันศุกร์ต้นเดือนแบบนี้ เหมาะสุดๆ ที่จะออกไปแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนและคนรู้ใจ ใครยังหาที่เด็ดๆไม่ได้ SOtraveler ขอแนะนำบาร์ในดวงใจอีกที่นึง ที่ตอบโจทย์ชาวไนท์ไลฟ์ทุกท่านได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ Manhattan Bar ซึ่งผมยกให้เป็นบาร์ที่โดดเด่นเรื่องความคลาสสิคแต่ยังคงความคูล เท่ห์ ในแบบฉบับของบาร์นิวยอร์กได้เนียบสุดๆ ที่สำคัญคือธีมงานที่จะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปทุกเดือน ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบย้อนๆ แต่ไม่ตกยุค ต้องมาเจอกันที่ Manhattan Bar ชั้น 2 โรงแรม JW Marriott กรุงเทพฯ ครับ
เหนื่อยมาทั้งเดือน ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง เจอกันนะ
1st Friday of Each Month
A NIGHT AT STUDIO 54
นี่คือตัวอย่างหนึ่งคืนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเก๋าๆ กับบรรยากาศเก่าๆ ของนครนิวยอร์คช่วง 1970 “New York’s iconic Studio 54” ซึ่งเป็นธีมปาร์ตี้ล่าสุดที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Studio 54 ดิสโก้บาร์ไฮโซรุ่นเก๋าชื่อดังระดับโลกช่วงยุค 70 ตั้งอยู่ที่กรุงแมนแฮตตัน (คอนเฟิร์มเลยครับว่าวัยรุ่นอเมริกันยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก Studio 54) ลองจินตนาการจากภาพบรรยากาศดูนะครับ… เสน่ห์ของแสงสีน้ำเงินเข้มๆ ผสานกับสีม่วงอมชมพู เติมด้วยรุ้งจากลูกดิสโก้ พร้อมดนตรีดิสโก้จังหวะกำลังเหมาะ ตอนนั้นคิดแล้วล่ะครับว่า “คืนนี้คงอีกยาวไกล”
ความเก๋ที่ผมค้นพบอีกหนึ่งสิ่งในงานคือ จังหวะเพลง แสง สี เสียง และเอฟเฟคควัน ที่จะทำให้ห้องนี้กลายเป็น Smoke Room มาจากสาวน่ารักหวานที่ถึงแม้จะมึดแค่ไหน ก็ยังพอเห็นเค้าโครงความสวยได้จากแสงไฟเล็ก ๆ ที่สาดส่อง
มาพูดถึงเครื่องดื่มกับอาหารในงานกันบ้างดีกว่า คอนเซ็ปต์ของที่นี่คือ Unlimited Recommended Cocktails & Canapes กิน ดื่ม ยาวตลอด 3 ชั่วโมงเต็มเลยครับ แต่ที่ผมชอบสุดๆ คือ ค็อกเทลของงานเจ้าของสูตร คุณหนุ่ย ที่นอกจากจะมีดีกรีเป็น Sommelier ระดับ Top ของประเทศ แล้วอีกบทบาทที่ผมได้สัมผัสวันนี้คือบทบาทของการเป็น Creative Mixologists ผู้เลือกและคิดสูตรค็อกเทลโดยใช้แรงบันดาลใจจากธีมของงานรังสรรค์ออกมาเป็นค็อกเทลแก้วพิเศษทั้ง 5 แก้ว ซึ่งจะพาทุกคนในงาน “Throwback to Studio 54” ชิมค็อกเทลซิกเนเจอร์จากยุค 70 กันแบบจัดเต็ม
The Purple Drop
Beefeater Gin, Triple Sec, Butterfly Pea Flower Juice, Lemon Juice
สีม่วงเป็นสีที่มีมนต์สเน่ห์ครับ แก้วนี้จะมีรสชาติหวานละมุนของอัญชัญ เบลนด์กับรสเปรี้ยวอมหวานจากส้ม ตัดปลายด้วยความสดชื่นจากเลมอน เป็นอีกแก้วสำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอมของซิตรัส จะดื่มก่อนหรือหลังก็ให้ความรู้สึกสดชื่นมีเสน่ห์ เหมือนน้ำสีม่วงแก้วนี้กำลังหยดลงไปทำให้ใจมันกระชุ่มกระชวย
Deep Blue Sea
Havana Gold Rum, Blue Curacao, Pineapple Juice, Lemon Juice
มาด่ำดิ่งสู่ห้วงทะเลกันต่อ กับค็อกเทลสีสวยแก้วใสใบนี้ที่ผสมผสานความสดชื่นของผลรสเปรี้ยวเอาไว้ด้วยกลิ่นหอมแบบฟรุ๊ตตี้จาก Blue Curacao น้ำสับปะรดและมะนาว สาวๆคนไหนมีโอกาสต้องลองนะครับ ผมว่าคุณต้องชอบมากแน่ๆ
Green Earth
Absolute Vodka, Crème de Menthe Green, Mint Leaf, Lemon Juice, Syrub
สำหรับคนชอบดื่มค็อกเทลสไตล์โมฮีโต้ ขอแนะนำแก้วนี้เลยครับ จะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน อบอวลด้วยกลิ่นมิ้นท์เคล้าอยู่ในปาก ดื่มแล้วหายใจโล่งขึ้นเยอะ (แต่ดื่มมากไปอาจหายใจเร็วได้ครับ เพราะเต้นเยอะไปอะไรทำนองนี้ )
Dark Night
Chivas Extra Whiskey, Campari, Sweet Vermouth, cold Pressed Thai Kopi, Bitter Truth Orange Bitters
ค็อกเทลเข้มๆ ที่มีมิติของกลิ่นของกาแฟดำเคล้ากลิ่นหอมสดชื่นของซิตรัสได้อย่างละมุนลงตัว คนที่ชอบดื่มกาแฟต้องลองนะครับ
Agave Sour Savers
Olmeca Gold Tequila, Triple Sec, Lime Juice, Angostura Bitter
สุดท้ายนี้เป็นค็อกเทล Agave Sour Savers ที่มีเบสเป็นเตกิล่า จะให้รสชาติออกเปรี้ยวผสานกับกลิ่นหอมจากสมุนไพร ซึ่งน่าจะแรงสุดแล้วในบรรดาทั้ง 5 แก้วนี้ แต่ผมค่อนข้างชอบความลงตัวของกลิ่นหอมในแก้วนี้นะครับ
สำหรับใครที่อยากจิบเครื่องดื่มอื่นๆ ในงานยังมีไวน์และเบียร์คอยให้บริการด้วยนะครับ ในส่วนของไวน์ก็เสิร์ฟทั้ง Lazo Cabernet Sauvignon, Central Valley,Chile, Laza Chardonnay Centra Vallay และไวน์ Chile
แต่วันนี้ผมขอเน้นค็อกเทลดีกว่า อันที่จริงพอมาถึงแก้วที่ 5 ก็เริ่มคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องแล้วครับ (เริ่มได้ยินแต่เสียงเพลง)
ส่วนนี่เป็นน้ำเข็งแกะสลักเป็นทาวเวอร์ สวยงามมากครับ ยิ่งตอนที่เล่นกับแสงในงานวิ้งวับเป็นประกายเลยครับ แถมยังเป็นกิมมิคของงานที่ทุกคนสนใจและสนุกสนานเอามากๆ นั่นคือจะมีการเทเครื่องดื่มหนึ่งช็อตลงที่ด้านบนทาวเวอร์ แล้วให้ดื่มผ่านปลายท่อที่อยู่ด้านล่าง…
เข้าปากแล้วเข้มขนาดไหนก็ต้องกลืนครับ ณ จุดนี้ (คนเชียร์เยอะ ต้องสู้ๆ วัดใจกันไปเลย)
มาที่อาหารที่เสิร์ฟในงานกันบ้าง สไตล์อาหาร Canape แบบค็อกเทลปาร์ตี้นั่นเองครับ แต่ค่อนข้างมีความหลากหลายพอสมควรเลย ความน่าอร่อยแต่ละเมนูจะมากมายขนาดไหน มาอ่านกันต่อดีกว่า
All You Can Eat Canape
- Devilled Egg เปิดด้วยคานาเป้ตัวแรกมาแบบสไตล์เรโทรสุดคลาสสิค กับไข่ต้มสุกผ่าครึ่งเดรสด้วยมายองเนสและมัสตาร์ด ไข่นิ่มๆ ตัดด้วยสัมผัสครีมเปรี้ยวๆ มันๆ
- Duck ala Orange (เป็ดรมควันกับส้ม)
เป็ดรมควันกับส้ม ฟังดูแล้วอาจจะไม่เข้ากัน แต่นี่เป็นเมนูยอดฮิตในช่วงปี 60 ที่เข้าธีมงานวันนี้สุดๆ น่าแปลกที่เมื่อเอากลิ่นของส้มมาปรุงอาหารอะไรก็ทำให้เกิดความหอมสดชื่น และสำหรับเมนูนี้กลิ่นของส้มยังช่วยให้กลิ่นเนื้อเป็ดหอมขึ้น และชิ้นเป็ดที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กก็ทำให้เมนูนี้นุ่มอร่อยแบบพอดีคำ
- Mini Potato skins stuffed with bacon, cheese and truffle
มันฝรั่งชิ้นจิ๋วท็อปด้วยเบคอน ชีส และมันฝรั่งทอดกรอบรสหวานมัน กินไปจิบค็อกเทลไป มันก็จะเพลินๆ หน่อยครับ
- Parma Ham&Melon
เมนูนี้ผมชอบมาก เพราะรสเค็มและสัมผัสนุ่มกำลังดีของพาร์ม่าแฮม ตัดเข้ากับความหวานสดชื่นของเมล่อน ตัดเลี่ยนได้ดีมากๆ ครับ
- Pan Fried egg dipped ham, turkey, Swiss cheese Sandwich
แซนด์วิชทอดไส้แฮมชุบไข่ผสมไก่งวงสับและชีสสวิส กรอบนอกนุ่มในดีครับ เมนูนี้เชฟเลือกวัตถุดิบได้เข้ากันลงตัวมากๆ
- Davils on Horseback (พรุนพันเบคอน)
เป็นเบคอนพันเข้ากับพรุน เหมือนกำลังกินเบคอนกับแยมพรุนยังไงยังงั้นเลย
- Swedish Meat Balls (มีทบอล) ผมชอบมาก เป็นมีทบอลสไตล์สวีเดนในซอสรสคลาสสิค เนื้อนุ่มมากครับ กัดแล้วจะฉ่ำๆ ซอส เคล้ากลิ่นเครื่องเทศหอมกลมกล่อม
คานาเป้ พนักงานจะคอยเดินเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง และเชิญชวนให้ลองชิม แม้แต่เครื่องดื่มเองก็สั่งจากพนักงานได้เลย ไม่ต้องยืนรอที่บาร์
See You Next!
A PROHIBITION REPEAL DAY CELEBRATION
คืนนั้นขอบอกเลยว่าคุ้มมากครับ กับเครื่องดื่มฟรีโฟลว์ตลอด 3 ชั่วโมงแถมยังมีคานาเป้ทานเล่นไม่จำกัดอีกต่างหาก ที่สำคัญคือบรรยากาศที่บอกได้เลยว่าคิดมาดีมาก ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ คิดว่าถ้ามีโอกาสงานหน้าคงได้เจอกันที่ Manhattan อีกแน่นอน
ตอนนี้เริ่มปักหมุดชวนเพื่อนกันไว้ได้เลยนะครับกับศุกร์ต้นเดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคมที่กำลังจะมาถึง ล่าสุด Manhattan Bar ได้ประกาศธีมใหม่มาแล้ว คราวนี้ย้อนกลับไปลึกกว่าเก่าถึงช่วงปี 1920 กับคอนเซ็ปต์ “Party at Manhattan Bar” โดยจะมีการจำลองค่ำคืนวันสิ้นสุดของยุค Prohibition Period มาดูกันว่าหลังจากกฏหมายงดดื่มเหล้าถูกยกเลิกแล้ว ปาร์ตี้ฉลองของชาวอเมริกันคืนวันนั้นจะคึกครื้นแค่ไหน
บอกเลยครับงานนี้ต้องเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อม ติดหนวด ตีกระบังให้เข้าคอนเซ็ปต์เหมือนหลุดมาจากยุค 1920 กันเลย ฉลองกันตั้งแต่ 18:00 – 21:00 น. พร้อมค็อกเทลและคานาเป้เข้าธีม กินดื่มแบบไม่จำกัดตลอด 3 ชั่วโมงเต็ม
แล้วพบกันที่ Manhattan Bar ชั้น 2 โรงแรม JW Marriott กรุงเทพฯ นะครับ
Restaurant
Date/ Time: Friday 7th July 2017 from 6:00 pm until 9:00 pm
Location: Manhattan Bar, JW Marriott Hotel Bangkok
Theme: Stepping back in time to the 1920s and the Prohibition period. Drinks on the night are disguised in Manhattan Bar.
Price: THB 699++ (including unlimited selected cocktails & canapés)
Prohibition theme party will be one of the most exciting moments at Manhattan Bar. For more information and reservations, please contact +66 2 656 7700