บอลติก บลูโนส (Baltic Blunos) ร้านอาหารสไตล์บอลติกครอสโอเวอร์ (Baltic Crossover) ที่นำเสนอประสบการณ์ทางด้านการรับประทานอาหารอันน่าตื่นเต้น ลึกลับ และน่าค้นหาตามแบบฉบับประเทศลัตเวียแห่งทะเลบอลติก
ทำไมถึงต้องเป็นเมนูในแบบฉบับลัตเวีย…คำตอบอยู่ที่นี่!
ก่อนอื่นต้องเอ่ยถึงสองเชฟแม่ทัพแถวหน้า ผู้ที่จะเป็นไกด์นำทางทุกคนมาสัมผัสกับประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นแห่งทะเลบอลติก เชฟมาร์ติน บลูโนส (Martin Blunos) สุดยอดเชฟที่ได้รับดาวการันตีโดยมิชลินสตาร์ และเป็นเซเลบริตี้เชฟผู้อยู่ในวงการอาหารมายาวนานกว่า 30 ปี พร้อมกับเชฟอเล็กซ์ซานเดอร์ นาซิไคลอฟส์ (Aleksandrs Nasikailov) หัวหน้าพ่อครัวหนุ่มประจำร้านบอลติก ทั้งคู่เป็นชาวลัตเวียมาโดยกำเนิด เพียงแต่เชฟมาร์ตินได้ย้ายมาสั่งสมประสบการณ์ทางด้านการทำอาหารที่สหราชอาณาจักรในเวลาต่อมา
ประเทศลัตเวีย เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านวัตถุดิบชั้นเลิศทั้งจากทะเลบอลติกและพื้นที่ป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ที่มีขนาดถึง 2 ใน 5 ของประเทศ และยังคงเป็นดินแดนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในกลุ่มนักท่องเที่ยวแถบเอเชีย ทั้งสองเชฟมั่นใจว่าความละมุนและความแปลกใหม่ของอาหารสไตล์ลัตเวีย ผสมผสานกับเทคนิคในปรุงอาหารชั้นยอดของเขาทั้งคู่ จะทำให้ทุกคนชื่นชอบและหลงใหลไปกับเสน่ห์อันสร้างสรรค์ในแต่ละเมนูที่เชฟคิดค้นขึ้นมา และที่สำคัญ บอลติก บลูโนส คือร้านอาหารร้านแรกในกรุงเทพฯ ที่เสิร์ฟเมนูอาหารสไตล์นี้
ร้านบอลติก บลูโนส ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ ซอย 9) มีที่จอดรถกว้างขวาง สำหรับในช่วงแรก เชฟอยากให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์เมนูอาหารที่ร้านด้วยความความรู้สึกที่ตื่นเต้นจึงนำเสนอ “เทสติ้ง เมนู” รสชาติเยี่ยม มีให้เลือก 2 เซ็ต The wanderlust dining 6 journey course ราคา 2,900 บาทสุทธิต่อคน และ The wanderlust dining 8 journey course ราคา 3,400 บาทสุทธิต่อคน
The wanderlust dining 8 journey course
บทความนี้เราขอเล่าถึงเสนอประสบการณ์ที่ได้มาทานเทสติ้งเมนู The wanderlust dining 8 journey course นี่คือ “ประสบการณ์สุดเร้นลับของการเดินทาง” ที่เราอาจจะคาดเดาไม่ได้ว่าเชฟจะนำเสนอเมนูอะไร เนื่องจากเชฟจะเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่วันมาปรุงเป็นเมนูเสิร์ฟให้ทาน เชฟจะถามเพียงว่าเราแพ้อาหารอะไรหรือไม่ชอบทานอะไรบ้างเชฟก็จะปรับเปลี่ยนวัตถุดิบในเมนูให้เหมาะสมตามความต้องการ
ทำให้ในแต่ละครั้งที่มาทานเราจะพบกับความเจ๋งของเชฟ และสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ ความพิถีพิถันในทุก ๆ จานที่เชฟเสิร์ฟ ทุกจานมีเรื่องราว มีที่ไปที่มา มีเหตุและผลของการมาอยู่บนจานที่อยู่ตรงหน้าเรา
เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยเมนูแรก เชฟนำเสนอในรูปแบบของต้นไม้ที่ประกอบด้วยใบไม้หลากสี เสมือนฤดูใบไม้ผลิที่ลัตเวีย ใบไม้สีเขียวมีส่วนประกอบของสาหร่ายสไปรูลีน่า สีแดงมาจากมัลเบอร์รี่ และสีน้ำตาลทองมาจากเห็ดพอร์ชินี ส่วนใต้ต้นไม้จะมีก้อนหินที่ทำมาจาก พาเมซานซีสผสมกับทรัฟเฟิลออย ให้รสชาติหอมละมุนและมีความเย็นที่ได้จากไนโตรเจน วิธีการรับประทานให้หยิบพาเมซานซีสผสมกับทรัฟเฟิลออยเข้าปากก่อนแล้วตามด้วยใบไม้สีต่าง ๆ แค่นี้ก็สัมผัสได้ว่าคุณกำลังเริ่มก้าวเข้าสู่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้แล้ว
ต่อกันด้วย เมนูเรียกน้ำย่อยเมนูที่สอง เป็นการนำเสนอเรื่องราวของความลึกลับผสมผสานกับความเป็นไทย โดยใช้ลูกบอลน้ำแข็งที่มีเมี่ยงคำดอกบัวและอะโวคาโดซ่อนอยู่ภายใน
วิธีการเสิร์ฟ เชฟจะใช้ไฟละลายลูกบอลน้ำแข็งออก เผยให้คนทานได้เห็นเมนูที่อยู่ด้านในอย่างช้า ๆ ภายในจานยังมีหินก้อนเล็ก ๆ วางกระจายอยู่ หลังจากที่ลูกบอลละลายเป็นน้ำ เราจะเห็นเหมือนว่าเมี่ยงคำนี้กำลังตั้งอยู่บนชายหาด ซึ่งเป็นอีกทัศนียภาพหนึ่งของประเทศลัตเวียที่มีอาณาเขตติดกับทะเลบอลติก
ขนมปังคอมพลิเมนทารี่ นี่ก็ไม่ธรรมดา แป้งนุ่มหอมมาก นำเสนอด้วยการซ่อนขนมปังเอาไว้ในขอนไม้ ตัวขนมปังทำสดใหม่ทุกวัน มีส่วนผสมหลักจากน้ำมะพร้าวของไทย ใช้เวลาในการทำประมาณ 6 ชั่วโมง เสิร์ฟมากับหินก้อนขนาดพอดีมือ ภายในหินเมื่อเปิดแยกออกจากกัน จะพบว่าแต่ละครึ่งบรรจุเนยที่ทางร้านทำขึ้นมาเป็นรสชาติพิเศษ เพื่อให้ทานคู่กับขนมปัง
เข้าสู่คอร์สแรกของ The wanderlust dining 8 journey course เมนู Sea urchin นำเสนอมาภายในภาชนะที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นเมนูไข่หอยเม่นทะเลหรืออูนิ เสิร์ฟพร้อมกับไวท์ช็อคโกแลตทำให้มีรสชาติหวานนิด ๆ พร้อมทั้งมะกรูดเพิ่มกลิ่นหอมได้อย่างซับซ้อน ท็อปด้านบนด้วยฟองโฟมที่ผสมเกลือเล็กน้อย เหมือนเกลียวคลื่นที่ซัดขึ้นบนชายหาดของทะเลบอลติก เชฟได้เล่าเพิ่มเติมว่า ทันทีที่ทุกคนได้เห็นคอร์สนี้จะมีความรู้สึกสงสัย แต่เมื่อได้ลองชิมจะรู้สึกถึงรสชาติที่หลากหลายที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
คอร์สที่สอง Moon Flower วัตถุดิบหลักคือดอกชมจันทร์ปรุงกับซุปต้มข่าไก่ เพิ่มความหอมมันด้วยอัลมอนด์ ทำให้รสชาติต้มข่าไก่มีความละมุนมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการปรุงด้วยวัตถุดิบจากตะวันออก ผ่านฝืมือของเชฟตะวันตกที่มีความเข้าใจในรสสัมผัสของอาหารไทยและดัดแปลงออกมาได้อย่างสร้างสรรค์
คอร์สที่สาม Mackerel ปลาแม็คเคอเร็ลของไทยที่นำมาปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ ส่วนด้านล่างเชฟทำการหมักดอง ส่วนด้านบนเชฟทำให้สุก ตกแต่งด้วยบีทรูทและฮอร์สแรดิช เพิ่มรสสัมผัสให้มีความกรอบเมื่อรับประทาน
คอร์สที่สี่ Octopus หนวดปลาหมึกยักษ์ที่มีความนุ่ม หนึบ มาพร้อมกับ ฮอร์สแรดิชที่ทางลัตเวียใช้ โดยจะมีรสชาติคล้ายกับวาซาบิสด เชฟนำเสนอคอร์สนี้ให้ออกมาเป็นเรื่องราวความลับของท้องทะเล มีควันหมอกกระจายตัวอยู่รอบ ๆ เพิ่มความน่าสนใจให้กับอาหารที่อยู่ด้านบนสุดของหิน
คอร์สที่ห้า Fore Gras เป็นอีกเมนูที่ผสมผสานกันระหว่างอาหารตะวันออกและตะวันตก นำเสนออกมาในลักษณะของฟัวกราส์ราวิโอลี่ ปรุงด้วยน้ำหล่อเลี้ยงจากต้นเบิร์ช (Birch Sap) ที่หายากและอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีเห็ดเผาะที่เราคุ้นเคยกันทางภาคเหนือเพิ่มรสสัมผัสกรุบกรอบ
คอร์สที่หก Scallops หอยเชลขนาดใหญ่ เสิร์ฟพร้อมกับไข่ปลาคาเวียร์มอทรา (Mottra caviar) ราดด้วยซอสฮอลแลนเดซ และมีความกรอบจากสาหร่าย ไข่ปลาคาเวียร์มอทราของประเทศลัตเวียถือได้ว่ามีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื่องจากกรรมวิธีในการรีดไข่ จะทำในขณะที่ปลายังมีชีวิตอยู่ และเมื่อรีดเสร็จแล้ว ก็จะปล่อยปลาให้กลับไปใช้ชีวิตต่อไป นอกจากวัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว การนำเสนอของเชฟก็จะจัดวางไว้บนเปลือกหอย ด้านล่างจะเป็นเหมือนเกลือก้อนใหญ่ ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายทะเลเบา ๆ ระหว่างการรับประทาน
คอร์สที่เจ็ด Black Chicken เมนูที่ทำมาจากไก่ดำ ซึ่งมีคุณประโยชน์ที่หลากหลาย เสิร์ฟมาพร้อมกับฟัวกราและอาร์ติโชค (Artichoke) ที่เชฟนำเสนอในรูปแบบพูเรและนำมาทอดกรอบเพิ่มเติม อาร์ติโชคเป็นพืชเมืองหนาวที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงเช่นกัน ประกอบไปด้วยวิตามินซีสูง และยังมีโฟเลตและวิตามินบี 6 ช่วยให้หลอดเลือดในร่างกายแข็งแรง ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี ราดด้วยซอสแกงกะหรี่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย
ก่อนที่จะเข้าสู่คอร์สสุดท้ายซึ่งเป็นคอร์สของหวาน เชฟเสิร์ฟขนมล้างปากด้วย ไอศกรีมโยเกิร์ต ที่เชฟออกมาทำให้ทานที่โต๊ะ ค่อย ๆ ปั้นครีมโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของส้มซ่าและเลมอนเซลโลบนไนโตรเจนเหลว จนออกมาเป็นไอศกรีมแผ่นกลมแบนให้ทุกคนได้ทานอย่างอร่อย มีรสชาติเปรี้ยวซ่าราวกับทานกรานิตาแต่ได้เนื้อสัมผัสที่มีความละมุน
คอร์สสุดท้ายคอร์สที่แปด Dark rye chocolate biscuit Buckwheats ice cream บิสกิตข้าวไรย์ช็อคโกแลตเป็นอีกเมนูที่คนลัตเวียมีความคุ้นเคย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมบักวีต (Buckwheat) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดน้ำตาลและคอเรสเตอรอลในกระแสเลือด ตกแต่งด้วยไวท์ช็อคโกแลตโรยอยู่รอบ ๆ
หลังจบมื้ออาหาร เชฟยังเซอร์ไพรซ์ด้วยการเสิร์ฟช็อคโกแลตโฮมเมด ให้ทุกคนได้เลือกทานตามความชอบ ทั้งแบบดาร์กช็อกโกแล็ตเข้มข้น และแบบสอดไส้หลากหลายรสชาติ สร้างรอยยิ้มให้กับแขกทุกคนที่มาอ่านได้อย่างแฮปปี้แอนดิ้ง
บอลติก บลูโนส ได้ส่งมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าตื่นเต้น รสชาติอาหารที่น่าประทับใจ มีเอกลักษณ์และมีความแปลกใหม่ เราขอยกให้เป็นหนึ่งใน Recommended list ที่ทุกคนควรมาสัมผัสประสบการณ์อันแสนดีงามนี้ด้วยตัวคุณเอง โดยเฉพาะสายฟู้ดดี้ไม่ควรพลาด
ร้านบอลติก บลูโนส (Baltic Blunos)
- ตั้งอยู่ เลขที่ 129 สุขุมวิท 55 (ทองหล่อ ซอย 9)
- เวลาบริการ วันอังคาร-วันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) เวลา 18.00-22.00 น.
- เบอร์โทรติดต่อ 02-117-1255, 095-879-9075
- อีเมล์ [email protected]