จากความสำเร็จของ Beyond the Boundaries ในครั้งที่ผ่านมา ก็ถึงเวลาความอร่อยกันอีกครั้ง เมื่อสองเชฟคนดัง อย่างเชฟ Wilfrid Hocquet, Executive Chef จาก Blue by Alain Ducasse ร่วมมือกับเชฟ Loïc Portalier, Head Chef จาก Claudine ห้องอาหารชื่อดังจากประเทศสิงคโปร์ จัดมื้ออาหารสุดพิเศษขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อ Beyond The Border: Blue by Alain Ducasse X Claudine เป็นการรังสรรค์เมนูอาหารกลางวัน และอาหารเย็นสุดเอ็กซ์คลูซีฟในคอนเซ็ปต์การเฉลิมฉลอง “Joie de Vivre” หรือสุนทรีย์แห่งชีวิตตามแบบฉบับของชาวฝรั่งเศส
เมนูอาหารกลางวันและอาหารเย็น Beyond The Border: Blue by Alain Ducasse X Claudine เป็นการนำเสนอเมนูไฮไลต์จากห้องอาหาร ของทั้งสองเซฟคนดัง อย่างเมนู Jambon Persillé with Ravigote จาก Claudine และ Crustacean Consommé, Pork Cheek Raviolini, Heirloom Radish จาก Blue by Alain Ducasse โดยเซ็ทอาหารกลางวันและดินเนอร์จะเสิร์ฟที่ราคา 4,900++ บาทและ 7,900++ ตามลำดับ
A celebration of “Joie de Vivre”
7-COURSE LUNCH
ความหรรษาของการเปิดประสบการณ์ครั้งนี้ เริ่มต้นกันที่ Amuse-bouche ขนมปังซาวร์โดว์ย่าง ท็อปด้วยปลาซาร์ดีนและน้ำมันกระเทียม เมนูนี้เป็นของ Claudine บอกเลยว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก สัมผัสของซาวร์โดว์กำลังดี ทานคู่กับเนื้อปลาที่รสชาติเข้ากันลงตัวเป็นอย่างดี
ส่วน Pissaladière ทาร์ตหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส เป็นเมนูจาก Blue by Alain Ducasse ซึ่งเป็นอีกจานที่ว้าวมาก อร่อยจนอยากขอเพิ่ม สำหรับผู้ชื่นชอบหัวหอมคุณจะหลงใหลเมนูนี้อย่างแน่นอน
ไปต่อกันที่จานขนมปัง เป็น 2 เมนู 2 รูปแบบจากทั้ง 2 ร้าน โดย Blue by Alain Ducasse นำเสนอ กูเกิลฮัพฟ์ที่ทำมาจากชีทคอมเต้ เมล็ดทานตะวัน มะเขือเทศและน้ำมันมะกอก สำหรับจานนี้ เปิดต่อมรับกลิ่นเป็นอย่างมาก ด้วยความหอมที่เย้ายวนใจ ยิ่งพอได้ลิ้มชิมรส กลิ่นหอม ๆ ของชีทยังไปอบอวนอยู่ในปาก ทุกอย่างลงตัวเข้ากันดีจริง ๆ
ส่วนทางฝั่ง Claudine นำเสนอแผ่นขนมปังกรอบที่ทำมาจากบัควีทและพริกหยวก รับประทานควบคู่กับซอสที่ทำมาจากโยเกิร์ตมินต์ เป็นเมนูที่ดูง่าย ๆ แต่บอกเลยว่า รสชาติไม่ง่ายแบบที่เห็น เมื่อทานขนมปังกรอบและโยเกิร์ตมินต์คู่กัน มันเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า… คิดรสชาติให้ออกมากลมกล่อมลงตัวแบบนี้ได้อย่างไร?
ความตื่นตาตื่นใจ ยังคงดำเนินไปต่อ เมื่อคอร์สแรกก็มาอยู่ตรงหน้าเป็นเมนูเพิ่มความสดชื่น เพื่อเคลียร์ต่อมรับรส ก่อนที่เราจะเริ่มอาหารจานหลักกันอย่างจริงจัง
ขึ้นชื่อว่า Signature คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว เพราะนี่คือขนมปังที่อบมาได้กำลังดี เนื้อนุ่มฟูเบา ยิ่งมาได้เนยคุณภาพดี ๆ ทานคู่กันเข้าไปอีกบอกเลยว่า อาจมีการร้องขอเพิ่มกันได้ไม่เกินจริง
เข้าสู่โหมดของจานหลักกันบ้าง “Jambon persille” & Ravigote Condiment อาหารจานเย็นที่ทำมาจากแฮมและใบพาร์สลีย์ ด้วยรสชาติเค็มของตัวแฮม จะช่วยตัดรสชาติของใบพาร์สลีย์และเจลลี่ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นอาหารจานเย็น แต่วัตถุดิบต่าง ๆ ที่คัดสรรมาอยู่ในจานนั้นเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพิ่มรสชาติด้วยซอสราวิโกเต ซึ่งเป็นซอสคลาสสิกที่มีกรดเล็กน้อยในอาหารฝรั่งเศส ที่จะปรุงแบบอุ่นหรือเย็นก็ได้ สำหรับมือใหม่อย่างเรา จานนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่ได้ลิ้มลองจริง ๆ
ถัดมาด้วยเมนู Lightly smoked mediterranean carabineros, cherries & fresh almonds เมนูนี้มากับวัตถุดิบยอดนิยมอย่าง Carabineros กุ้งทะเลน้ำลึก ผ่านกรรมวิธีรมควันเบา ๆ เสิร์ฟมาพร้อม เชอร์รี่และอัลมอนด์สด จัดจานมาสวยงาม รสชาติของเมนูนี้คือเน้นความสดของเนื้อกุ้งที่เป็นวัตถุดิบหลัก มีความกลิ่นอายเมดิเตอร์เรเนียนอย่างชัดเจน
Pork cheek raviolini, delicate crustacean’s consomme, heirloom radish and sea purslane จานราวิโอลี สัมผัสแรกคือกลิ่นหอมชวนทาน รสชาติของซุปกุ้งกลมกล่อม เข้ากันได้ดีกับตัวราวิโอลี เพิ่มรสชาติและสีสันด้วยหัวไชเท้าฝรั่งและใบผักเบี้ยที่มีสรรพคุณเพื่อสุขภาพมากมาย แถมยังมีโอเมก้า 3 สูงอีกด้วย
Buckwheat tartlet, wild mushrooms, vin jaune zabaglione and black truffle มาถึงเมนูที่สาย Truffle ต้องร้องกรี๊ด ด้วยกลิ่นของ Truffle หอมรันจวนใจตั้งแต่มาเสิร์ฟ ตัวทาร์ต Buckwheat รวมถึงกลิ่นของเห็ดป่า ให้กลิ่นที่ชวนเชิญให้อยากทานมากขึ้นไปอีก เป็นอีกจานที่ต้องใช้สัมผัสทางการรับรู้กลิ่นค่อนข้างมากจริง ๆ
ยังไม่จบ อร่อยกันต่อกับ Confit line-caught John dory, stuffed “Andine cornue” tomato, bouillabaisse reduction เมนูปลา John Dory ที่จับมาได้ด้วยวิธีการใช้เบ็ด (ทำให้ได้เนื้อปลาที่ดีที่สุดในโลก) ผ่านการปรุงด้วยการตุ๋นแบบฝรั่งเศส ช่วยให้คงรสชาติของเนื้อปลาไว้ได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟมาพร้อมมะเขือเทศที่ให้รสชาติที่ลงตัวเมื่อทานคู่กัน อยากบอกว่าเป็นเนื้อปลาที่สุกกำลังดี อร่อยจนไม่อยากให้ถึงคำสุดท้ายจริง ๆ
และ “Chou farci” Gascon bacon, foie gras, prune ปิดท้าย Main Couse ด้วยเมนูที่พูดได้เลยว่า Juicy มาก เมื่อส่วนผสมอย่าง ตับห่านคุณภาพ, เบคอนหอม ๆ ร่วมถึงพรุน ถูกนำมารวมและห่อเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการปรุงอย่างดี ทำให้ออกมาเป็นอีกหนึ่งจานที่ให้รสชาติว้าวมาก ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัวจริง ๆ
จะให้ครบถ้วนสมบรูณ์ เมื่อกินคาวก็ต้องกินหวาน ด้วยเมนูของหวานสักหน่อย แต่ก่อนจะเข้าเข้าสู่คอร์สขนมหวานกัน เรามาล้างปากกันก่อนเพื่อความสดชื่นด้วยเมนู Chilled strawberry, watermelon and marigold condiment กับการนำสตอร์เบอร์รี่ แตงโม ที่ปรุงรสด้วยซอสดอกทานตะวัน เมนูนี้เสิร์ฟมาแบบเย็น ๆ เป็นการล้างปากก่อนเข้าเมนูของหวานได้เป็นอย่างดี
และจบที่ขนมหวานด้วย Roasted apricots, bitter almond ice cream and brioche ด้วยการนำแอบปิคอตมาย่าง เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศครีมอัลมอนด์ และขนมปังฝรั่งเศสอย่าง Brioche
ปิดท้ายด้วย Petit four เมนูน่ารัก ด้วยขนมอบ ช็อคโกแลต และไอศครีม เป็นการจบมื้อสุดพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจจริง ๆ
“อิ่มกว่านี้ ก็ไม่ไหวแล้ว” เป็นมื้อกลางวัน ที่สร้างประสบการณ์ที่พิเศษสุด บรรยากาศที่อบอวนไปด้วยกลิ่นอายฝรั่งเศส ทำให้เราเหมือนได้ไปนั่งทานอาหารดี ๆ ผ่านการปรุงชั้นเยี่ยมอยู่ที่ปารีสจริง ๆ เป็นความประทับใจอีกครั้งในชีวิตที่จำจดจำไปอีกนานแสนนาน
ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ Beyond the Border: Blue by Alain Ducasse x Claudine จัดขึ้นในวันที่ 20 และ 21 สิงหาคม 2566 ชั้น 1 ไอคอนสยาม โทร. 06-5731-2346 หรือ https://www.blue-alainducasse.com