“ เราอยากให้คนที่เข้ามาได้ทิ้งภาระและเรื่องราวหนักใจของเขาไว้ที่นี่ ดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มของเราให้สบายใจ แล้วกลับออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างเต็มที่” คอนเซ็ปต์ที่แสนจะเรียบง่ายของผู้บริหาร ร้านบังเกอร์ (Bunker) แต่ตรงเข้ากระแทกใจเราอย่างจัง พอลองมาคิดดูดีๆ คนเมืองอย่างเรา แต่ละวันต้องเจอกับปัญหาและสภาวะที่กดดันสารพัด ทั้งการงาน ครอบครัว และสังคมรอบตัว บางครั้งเราก็อยากมีพื้นที่ส่วนตัวที่เป็นเหมือน ‘หลุมหลบภัย’ อยู่เหมือนกัน เพียงแต่เรานึกไม่ออก ว่าจะไปที่ไหนเท่านั้น แนวคิดสุดเท่ส์ของร้านอาหารคุณภาพไฟน์ ไดน์นิ่ง (Fine Dining) อย่าง “บังเกอร์” (Bunker) จึงตอบโจทย์เราได้เป็นอย่างดี
บังเกอร์ เป็นร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นอเมริกัน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘หลุมหลบภัย’ ตามชื่อร้าน เดิมทีอาหารของบังเกอร์นั้น ถูกจัดสรรให้เป็นอาหารชั้นเลิศระดับไฟน์ ไดน์นิ่ง (Fine-Dining) ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบหายากมากมายจากทั่วทุกมุมโลกและปรุงโดยเชฟผู้มากประสบการณ์ แต่ด้วยคอนเซ็ปต์หลักที่บังเกอร์ปรารถนาให้ทุกคนที่เข้ามาในร้านได้ผ่อนคลายและปล่อยวางความกังวลทุกอย่างออกไปจากใจ สมกับที่ได้อยู่ในหลุมหลบภัย
การปรับเปลี่ยนเมนูอาหารให้กลายเป็น เซมิ ไฟน์ไดน์นิ่ง (Semi-Fine Dining) หรือแคชวล ไดน์นิ่ง (Casual Dining) จึงเป็นบทสรุปที่กลมกล่อมมาก
เสน่ห์ของ Casual Dining อย่างหนึ่งคือ ผู้ที่มารับประทานจะสามารถแชร์อาหารร่วมกันได้หลายคนโดยอาหารที่นำมาเสิร์ฟจะถูกเตรียมให้มีสัดส่วนที่ลงตัวสำหรับจำนวนผู้ทาน ทำให้ทุกคนสามารถเอ็นจอยกับทุกเมนูได้โดยไม่รู้สึกเกร็งกับบรรยากาศ ในขณะที่คุณภาพของอาหารไม่ได้ดรอปลงไปตามความผ่อนคลายแต่อย่างใด เพราะบังเกอร์ยังรักษามาตรฐานความเป็นไฟน์ไดนิ่งของอาหารไว้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ร้านอาหารหรูในโรงแรมระดับไฟน์ไดนิ่งที่ใดเลย
ด้านการออกแบบ บังเกอร์ ถูกดีไซน์ตามคอนเซ็ปต์ของอินดัสเทรี่ยล ลอฟท์ (Industrial Loft) ซึ่งมีพื้นฐานการออกแบบจากอิฐและปูนเปลือยที่ให้อารมณ์สุขุม เยือกเย็น และผ่อนคลาย โดยมีนักออกแบบชื่อดังชาวอเมริกันอย่าง “Kelly Wheatley” ผู้เชี่ยวชาญด้านการดีไซน์วัตถุและของเก่า มาร่วมดัดแปลงและตกแต่งร้านให้มีความน่าหลงไหลและมีสไตล์มากยิ่งขึ้น
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันสดใสตัดกับกำแพงและผนังที่ทำจากปูนเปลือย ประกอบกับโคมไฟที่มีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ให้บรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลายมากทีเดียว
ร้านดีๆ กับบรรยากาศลอฟท์ ที่ไม่ธรรมดา
บังเกอร์ แบ่งพื้นที่หลักๆของร้าน ออกเป็น 3 ชั้นด้วยกัน ซึ่งแต่ละชั้นจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป
เริ่มที่ชั้นแรก เพียงก้าวเท้าเดินเข้าไปในร้าน ภาพที่เตะตาเราในทันทีก็คือบาร์ ที่มีเครื่องดื่มแอลกฮอล์และเหล้าหลายชนิด มากมายจนอดที่จะแอบคิดในใจไม่ได้ว่าบาร์เทนเดอร์เค้าจะใช้ครบทุกขวดเลยหรือเปล่า?? เพราะมันเยอะมากจริงๆ
แต่ความเยอะนี่ล่ะ ที่ทำให้เราเห็นถึงความพิถีพิถัน และความใส่ใจของบาร์เทนเดอร์ที่มีต่อเครื่องดื่มที่เขาปรุงให้เรา พื้นที่ชั้นแรกนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสพบรรยากาศชิลล์ๆและไพร์เวท หรือต้องการรีแล็กซ์จากการงานและเรื่องราวน่าปวดหัวมากมายที่พบเจอมาทั้งวัน
บรรยากาศสุดสบายแบบนี้ ชวนให้ปลดปล่อยอารมณ์ที่หนักอึ้งได้มากมายทีเดียว
ชั้นที่สอง เป็นห้องเมนไดน์นิ่ง (Main Dining) เราเห็นโต๊ะอาหารที่ทำจากหินอ่อนจัดวางอย่างเป็นสัดส่วน และตกแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงามมาก และที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ ห้องครัวที่เป็นครัวเปิด ไม่มีผนังหรือกำแพงกั้นระหว่างครัวกับพื้นที่รับประทานอาหาร ทำให้เราสามารถไปยืนดูและสัมผัสกับความละเอียดอ่อนในการทำอาหารของเชฟได้โดยตรง และที่พิเศษมากๆคือ แม้จะเป็นครัวเปิด แต่บริเวณที่เรารับประทานอาหารกลับไม่มีกลิ่นหรือควันจากในครัวมารบกวนเลยแม้แต่น้อย ถือว่าออกแบบระบบถ่ายเทอากาศได้เจ๋งจริงๆ แถมที่ชั้นสองนี้ เรายังสามารถผ่อนคลายสายตาไปกับการชมวิวเมืองจากหน้าต่างได้อีกด้วย
ชั้นที่สาม เป็นชั้นไพร์เวท โซน (Private Zone) เป็นโซนที่มีไว้รองรับผู้ที่ต้องการจัดปาร์ตี้หรืองานเลี้ยงส่วนตัว ชั้นนี้นอกจากจะมีพื้นที่พื้นที่อินดอร์ตามปกติแล้ว ยังมีพื้นที่เอาท์ดอร์สำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศจากเสียงดนตรีและเสียงผู้คนในห้องเป็นการออกมานั่งชิลล์เงียบๆสงบสบายข้างนอกได้อีกด้วย
Executive Chef: Arnie Marcella
เชฟ อาร์นี่ มาร์เซลลา เชฟหัวเรือใหญ่แห่งร้านบังเกอร์ ผู้ผ่านประสบการณ์จากร้านอาหารมิชลินมาแล้วมากมาย การมีโอกาสซึมซับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากนานาประเทศทำให้เขาสามารถนำประสบการณ์เหล่านั้นมาประยุกต์เมนูอาหารของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายเป็น “Melting Pot”
Melting Pot สำหรับเชฟอาร์นี่นั้น จึงเปรียบเสมือนหม้อใหญ่ที่หลอมรวมเอาวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆเข้าด้วยกัน อาหารของเขาแม้จะมีพื้นฐานมาจากอาหารสไตล์อเมริกันก็จริง แต่มันกลับมีเครื่องปรุงและกลิ่นอายของความเป็นเอเชียแทรกอยู่
ด้วยฝีมือและพรสววรค์ของเขา ทำให้ร้าน บังเกอร์ ได้รับรางวัล “Michelin Plate” จากมิชลิน ไกด์ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ร้านอาหารคุณภาพดีที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่และปรุงอย่างพิถีพิถัน และยังติดอยู่ใน 20 อันดับของรางวัล “20 Most Underated Restaurant” หรือ ร้านอาหารชั้นเลิศที่ถูกมองข้ามมากที่สุด
Bunker’s Style
สไตล์อาหารของบังเกอร์เป็นอาหารอเมริกันสไตล์โมเดิร์น ที่มีจุดเด่นมากๆ คืออาหารแต่ละจานจะมีเอกลักษณ์ที่เป็นซิกเนเจอร์ส่วนตัวของร้าน ไม่สามารถหาทานได้ที่อื่นทั่วไป ขอย้ำว่า หาทานที่ไหนไม่ได้! เพราะเชฟอาร์นี่เขาผสมผสานสูตรอาหารอเมริกันสมัยใหม่กับเครื่องปรุงในแถบเอเชียเข้าด้วยกัน แถมยังคงเสน่ห์ของทั้งคู่ไว้ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกลบลักษณะเด่นของอีกฝ่าย เมนูแต่ละจานล้วนเป็นฟิวชั่นฟู้ดที่ถูกคัดสรรและปรุงออกมาอย่างลงตัวในทุกรายละเอียด
สำหรับวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสที่บังเกอร์เลือกใช้ เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบระดับสูงจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งในแถบเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกา นับว่าหลากหลายมากจริงๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเชฟอาร์นี่จะให้ความสำคัญเฉพาะกับวัตถุดิบคุณภาพดีเพียงอย่างเดียว (ไม่เช่นนั้นใครๆก็ทำได้เนอะ) แต่เชฟคนนี้ยังให้ความสำคัญในทุกส่วนของการปรุง เชฟเล่าว่า กว่าจะผ่านแต่ละเมนูนั้น เขาต้องคิด ต้องสร้างสรรค์ ต้องคำนวณและต้องทดลองชิมซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะได้รสชาติที่เข้ากันมากที่สุด เมนูหลายเมนูพิสูจน์ให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ คือบางเมนูมีส่วนผสมที่แปลก ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่พอทานด้วยกัน กลับมีรสชาติที่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
Summer Cocktails
เมนูค็อกเทลของบังเกอร์ จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและอารมณ์ของบาร์เทนเดอร์ (ส่วนใหญ่น่าจะอารมณ์ดีนะ) สำหรับค็อกเทลประจำวันนี้ บาร์เทนเดอร์หนุ่มสุดหล่อประจำบาร์ชั้นแรกได้รังสรรค์ท่วงท่าและเทคนิคการชงแบบที่แอบเติมเสน่ห์เข้าไปอย่างเต็มที่ทีเดียว รับรองว่าต้องมีใครหลายคนที่เคยหลงเสน่ห์ของเขาจนลืมค็อกเทลที่อยู่ตรงหน้าไปชั่วขณะอย่างแน่นอน
Spiced Blossom : ค็อกเทลแก้วแรกเป็นแก้วที่มีกลิ่นเปลือกส้มเป็นตัวชูโรง จิบแล้วรู้สึกสดชื่นกระปี้กระเปร่ามาก รสชาติออกเปรี้ยวอมหวานแบบที่แทบไม่มีรสขมของแอลกอฮอล์ปนอยู่เลย แก้วนี้ดื่มง่ายและเบาบางมากๆ แถมด้านบนยังมีฟองนุ่มๆที่ทำจากไข่ขาวให้รสสัมผัสนุ่มละมุนอีกด้วย สำหรับรสเปรี้ยวและหวานนั้นมาจาก แอปเปิ้ลไซรัปและเปลือกส้มซอยชิ้นเล็กๆ จิบค็อกเทลไปเคี้ยวเปลือกส้มชิ้นเล็กๆไปด้วย ฟินไปเลยล่ะ
Middle Star : ค็อกเทลแก้วนี้จะมีกลิ่นอบเชยเป็นพระเอก ทุกครั้งที่หยิบแก้วขึ้นมากินก็จะมีกลิ่นอบเชยเตะจมูกเบาๆทุกครั้ง ในเรื่องรสชาตินั้นมีความเข้มข้นไม่น้อย มีทั้งความเปรี้ยวอมหวานแบบเข้มๆ ผสมกับรสชาติและกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แทรกเข้ามา แก้วนี้นุ่มละมุนจนคุณผู้หญิงน่าจะชอบ
Doctor Fairy : แก้วนี้พิเศษมาก พิเศษตรงที่บาร์เทนเดอร์มาชงให้ดูถึงที่โต๊ะเลย เขาใช้เหล้า แอปแซง (Absinth) ที่มีเปอร์เซ็นแอลกอฮอล์สูงถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์ฉีดรอบๆแก้ว แล้วใช้ไฟลนเพื่อให้แอลกอฮอล์ระเหยเป็นบางส่วน จากนั้นตามด้วยเหล้า Ritten house rye และเปลือกส้มที่มาด้วยกัน รสชาติแก้วนี้ ใครที่มั่นใจว่าคอแข็งพอควรต้องลองอย่างยิ่ง
ส่วนแก้วนี้ “American Tiki” รูปลักษณ์ภายนอกออกแนวซัมเมอร์ ด้วยส่วนผสมของสับปะรดและเสาวรสที่มีรสชาติเปริ้ยวเย็นสดชื่น เหมาะกับบรรยากาศเมืองไทยหน้าร้อนเป็นอย่างมาก แอลกอฮอล์ที่ใช้ในเมนูนี้เป็น รัม Flor de Cana ที่หมักบ่มยาวนานถึง 5 ปี รสชาตินุ่มๆพร้อมกลิ่นหอมของวานิลลาที่สัมผัสได้จากปลายลิ้นนั้น เยี่ยมมากทีเดียว
Appetizers
ต่อจากค็อกเทล ก็เข้าสู่สตาร์ทเตอร์เรียกน้ำย่อย ซึ่งบังเกอร์มีโทสต์ที่อบด้วยกระเทียมกับโรสแมรี่แล้วโรยด้วยซีซอลท์ (Sea salt) ไว้บริการให้ทุกคนที่มาทานอาหารแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เรียกว่าเป็นคอมพลิเมนทารี่ (Complimentary) ของทางร้านก็ว่าได้
แต่หลังจากได้ทานของฟรีชิ้นนี้เข้าไปแล้วเนี่ยสิ มันเกิดความรู้สึกที่อยากจะเสียเงินเพื่อทานเพิ่มอีกชิ้นซะเหลือเกิน เพราะความหอมนุ่มของโทสต์และความเค็มนิดๆจากเกล็ดซีซอลท์มันช่างลงตัวมากๆ อร่อยเกินกว่าจะเป็นแค่สตาร์ทเตอร์ธรรมดาทั่วไปจริงๆ “แต่เราก็ต้องห้ามใจไว้ เพราะขนาดของว่างยังอร่อยขนาดนี้ จานหลักจะอร่อยขนาดไหน” ต่อกันเลยที่ของว่างจานถัดไป
หอยนางรมพันธุ์ Eagle Rock : เป็นหอยนางรมที่หาได้เฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิกแถบตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น และเป็นหอยจากธรรมชาติที่ทางร้านหามาเพื่อประกอบเป็นเมนูที่หาทานที่อื่นไม่ได้ รสสัมผัสของมันก็มีความแตกต่างกับหอยนางรมพันธุ์อื่นๆอย่างสิ้นเชิง เพราะเนื้อของมันมีความครีมมี่ (creamy) มากกว่าพันธุ์อื่นๆ และมีรสหวานสอดแทรกอยู่ในทุกอณูของเนื้อ และที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นคาวเลย
สำหรับเมนูนี้เชฟได้แต่งหน้าหอยนางรมด้วยฟองแอลมอนด์มิลค์บางๆ เพื่อให้ได้กลิ่นหอมที่แปลกใหม่ และยังช่วยดึงรสชาติความหวานของตัวหอยให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
Scallop “Tots” : จานนี้ถือเป็นเซอร์ไพรส์มากๆเลยสำหรับใครหลายๆคน เพราะภายนอกอาจจะดูเหมือนเป็น 1 คำเล็กๆที่ธรรมดา และรสชาติคงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่พอได้ลองจึงรู้ว่าคิดผิด เพราะของว่างคำเล็กๆคำนี้แหละ ที่จะสะกดทุกคนได้อยู่หมัด เนื่องจากรสชาติของมันให้ความรู้สึกที่พิเศษอย่างเหลือเชื่อ
ส่วนประกอบของจานนี้จะมี 2 ส่วนคือ ด้านบน และ ด้านล่าง
อธิบายอย่างรวบรัดเลยคือ ด้านล่างจะเป็นข้าวเหนียวทอดที่ให้ความรู้สึกเหมือนข้าวจี่ ส่วนด้านบนจะเป็นหอยเชลล์สดนำเข้าจากอลาสก้า เมื่อทานเข้าไปแล้วหลายคนคงจินตนาการรสชาติไว้เป็นแบบนึง แต่หารู้ไม่ว่า พระเอกของจานนี้จริงๆแล้วกลับกลายเป็นพริกซอยชิ้นเล็กๆที่วางอยู่บนหอยเชลล์รสชาติเผ็ดนิดๆของพริกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งคำ ทำให้ของว่างจานนี้เป็นจานที่อร่อยและลงตัวมากๆ
Main Dishes
ซีซ่าร์สลัด (Grilled Caesar Salad) : จานนี้ เรียกได้ว่าเป็นการพลิกโฉมซีซ่าร์สลัดอย่างแท้จริง เพราะไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เพราะวัตถุดิบในจานนั้นมีเยอะมากมายหลากหลายมาก และนอกจากนั้นเชฟยังแบ่งเลเยอร์ (Layer) ของสลัดเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือชั้นผักสดและผักที่กริลล์แล้ว แต่สลัดของที่นี่จะไม่มีน้ำสลัดเยิ้มๆเหมือนที่อื่น เพราะรสชาติของซีซ่าร์นั้นได้ซึมซาบเข้าเข้าไปในตัวผักเรียบร้อยแล้ว และปิดท้ายด้วยการโรยหน้าด้วยกูร์ตอง(Crouton) พาร์เมซานชีส และชีสแผ่นทอดกรอบบางๆ สร้างความประทับใจและความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับคนที่ชอบทานสลัดมากๆ
Spotted Grouper Crudo : กินิเลา (Kinilaw) จานนี้ทำมาจากปลาแมคเคอเรลสไลซ์ชิ้นหนาเต็มคำ ปรุงด้วยกะทิและสมุนไพรหลายชนิด ให้กลิ่นคล้ายต้มข่าของไทย แต่ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารฟิลิปปินส์เป็นหลัก โดยรวมให้รสชาติที่กลมกล่อมและแปลกใหม่สำหรับใครที่ไม่เคยทานมาก่อน
Steamed Clams Escabeche : จานนี้มีส่วนประกอบหลักคือหอยลายนึ่ง ที่ถูกนำไปปรุงกับเครื่องเทศสูตรเฉพาะที่ให้รสชาติเข้มข้นและซึมเข้าสู้เนื้อหอย จานนี้มีวิธีการรับประทานแนะนำคือ นำขนมปังที่วางอยู่ที่ขอบจานหักแล้วจิ้มกับเครื่องแกงที่นอนก้นอยู่ในจาน ยิ่งจิ้มเยอะยิ่งเข้มข้น ยิ่งอร่อย หลังจากนั้นค่อยๆตักหอยลายเข้าปากในระหว่างที่ยังเคี้ยวขนมปังอยู่ รับรองว่าเด็ด ครบทุกรส ไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน
Smoked Black Angus Beef Short Rib : จานเนื้อจานนี้เชฟได้นำเอาส่วนของชอร์ทริบส์มาใช้ในการปรุง โดยเนื้อได้ถูกนำไปรมควันด้วยไม้เชวี่ก่อนเพื่อกลิ่นที่หอมและทำการเคลือบ(Glazed) ด้วยซอสโคชูจังซึ่งเป็นเครื่องปรุงท้องถิ่นของประเทศเกาหลีก่อนนำมาย่าง สำหรับจานนี้เชฟแนะนำให้ทานคู่กับมันม่วงของญี่ปุ่นซึ่งให้รสชาติหวานตัดกับรสชาติเข้มข้นของเนื้อ คอมบิเนชั่นของจานนี้ถือว่าแปลกแต่ลงตัวมากๆอย่างเหลือเชื่อจริงๆ เพราะมันม่วงนั้นถือเป็นตัวชูรสชาติชั้นดีที่ทำให้รสชาติของเนื้อโดดเด่นอยู่ในปากมากขึ้น
Banana Prawns Ginataang : นอกจากการแต่งจานที่สะดุดตาแล้ว กลิ่นของอาหารจานนี้ก็เตะจมูกเรามากเช่นกัน เราสัมผัสกลิ่นได้ตั้งแต่แรกที่จานนี้ถูกนำมาวางบนโต๊ะ เมนูนี้เชฟใช้สมุนไพรผสมในเครื่องแกงหลายชนิด ทำให้มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม กุ้งแม่น้ำที่นำมาปรุงก็ได้รับอิทธิพลจากกลิ่นหอมของสมุนไพรไปด้วย เลยทำให้เคี้ยวแรกที่ทานเนื้อกุ้งเข้าไป เป็นเคี้ยวที่เพอร์เฟ็คที่สุด ถ้าได้ข้าวสวยร้อนๆมาวางข้างๆ อาจจะทานจนอิ่มได้เลย
Grilled 21-Day Dry Aged Pork Chop : จานนี้ถือเป็นหนึ่งในจานที่เชฟตั้งใจพรีเซ้นท์มาก เพราะพอร์คชอพ(Pork Chop) ที่เชฟได้นำมารังสรรค์เป็นเมนูนี้นั้นผ่านการดรายเอจ(Dry Aged) มานานถึง 21 วันด้วยกัน ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการบ่มเนื้อเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นมากขึ้นนั่นเอง โดยเมนูนี้เชฟแนะนำให้ทานเนื้อพอร์คชอพคู่กับฟักทองเนื้อบดละเอียดและผักปรุงรส ตัวพอร์คชอพมีรสสัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น ถูกตัดในชิ้นพอดีคำ รสชาติไม่เข้มข้นหรืออ่อนจนเกินไป แต่พอทานคู่กับเครื่องเคียงที่มีรสชาติเข้มข้นแล้ว ลงตัวอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
Summer Desserts
Tropical Key Lime Pie : เมื่อของคาวถึงที่แล้ว เราก็จะมาต่อที่ของหวานกันบ้าง จานแรกที่ถูกในมาเสิร์ฟตกแต่งสวยมากจนแทบไม่กล้าแตะ เมื่อเราใช้ช้อนตัดผ่านเมนูนี้ลงไปทีละชั้นเราจึงเห็นความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ถึง 3 ชั้นด้วยกัน คือชั้นเมอแรง ชั้นคุ้กกี้ครัมเบิล และชั้นโคโค่นัทกับแพชั่นฟรุต วิธีการทานคือต้องทานพร้อมกันทั้ง 3 ชั้นจึงจะได้รสสัมผัสครบทุกแบบทั้งหวาน หอม เปรี้ยว และเคี้ยวเพลิน ถือเป็นการเปิดของหวานที่น่าสนใจมาก
Banana Cofee Cake : จานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งขนมหวานที่ตอบโจทย์ความเป็นเมนสตรีมได้ลงตัวที่สุด เพราะเป็นการนำส่วนผสมยอดฮิตในขนมหลายๆอย่างมารวมกันจนกลายเป็นเมนูเดียว เริ่มต้นด้วยโทสต์หอมนุ่ม แต่งหน้าด้วยกล้วยหอมเคลือบคาราเมลบางๆผ่านเปลวไฟ และช็อคโกแลตแผ่น ทานคู่กับไอศกรีมกาแฟหอมหวานกำลังดี ปิดท้ายด้วยการโรยคุ้กกี้ครัมเบิล(Cookie Crumbled) ทานแล้วรู้สึกได้เลยว่าอยากทานคนเดียวทั้งจานแบบไม่แบ่งใคร
Chocolate S’More : เอาใจคนรักสมอร์(s’more) ต้องจานนี้เลย ด้านล่างเป็นเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนละเอียดคล้ายมูส แถมยังมีป็อปคอร์นโฮมเมดรสคาราเมลที่บังเกอร์ทำเองด้วย แนะนำให้ทานคู่กับไอศกรีมวนิลาที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน จานนี้ตกแต่งได้น่าทานมาก เมื่อมีคำแรกแล้วก็ต้องมีคำที่สอง สาม สี่ ห้า จะน้ำหนักขึ้นก็คราวนี้แหละ
หลุมหลบภัย ระดับไฟน์ ไดน์นิ่ง อย่าง “บังเกอร์” ซึ่งให้ทั้งความอบอุ่น สบาย และผ่อนคลาย พร้อมอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด รอคอยให้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่างอยู่เสมอ
ความสุขที่คุณจะไม่ลืม
No dress-code, No strict regulations at Bunker Sathorn 12
- พิกัดและสถานที่ :
118/2 ซอยศึกษา (สาทร 12)
กรุงเทพฯ 10500 - ที่จอดรถ :
ทางร้านมีที่จอดรถรองรับสำหรับลูกค้าที่มาทานอาหารจำนวนจำกัด แต่มีบริการจอดรถ (Valet Parking) ให้ด้วยในวันพฤหัสบดีถึงวันเสาร์ - ช่องทางการติดต่อ :
โทรศัพท์ : 02-234-7749
Email : [email protected]