ถ้าคุณชอบเมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสุนทรีย์พร้อมกับวิวที่สวยงามเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดแนะนำให้มาเที่ยวที่ หมู่บ้านคาสเตลเมซซาโน่ (Castelmezzano) แคว้นบาซีลีกาตา (Basilicata) บรรยากาศชิว ๆ เหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อนแบบเนิบช้า
คาสเตลเมซซาโน่ (Castelmezzano) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เก่าแก่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ได้รับการขนานนามจากทางการอิตาลีว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี และยังมีหมู่บ้านที่มีลักษณะคล้ายกันอยู่เขาอีกลูกที่ไม่ไกลกันมากนัก คือหมู่บ้านปิเอตราเปอร์โตซา (Pietrapertosa) สามารถเดินทางมาได้สะดวกถนนหนทางดี
สำหรับทริปนี้เราวางแผนที่จะแวะเที่ยวชมหมู่บ้านปิเอตราเปอร์โตซาก่อน แล้วค่อยเดินทางไปหมู่บ้านคาสเตลเมซซาโน่แบบตื่นเต้น ๆ ด้วยการโหนซิปไลน์เห็นเวหาข้ามเขาจากหมู่บ้านปิเอตราเปอร์โตซาไปคาสเตลเมซซาโน่
ปิเอตราเปอร์โตซา (Pietrapertosa) เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขา เอกลักษณ์ของที่นี่คือบ้านเรือนที่สร้างเป็นโทนสีแดงอิฐอยู่บนหน้าผา เป็นภาพที่สวยงาม พร้อมกับอากาศที่เย็นสบาย
สิ่งที่เราพบมากที่หมู่บ้านนี้คือพริกหวานอิตาลีสีแดง บ้านหลายหลังร้อยลงมาเป็นพวง ยาวแอบส่องเข้าไปเห็นบ้านหลังนี้แขวนไว้เยอะกว่าใคร เพราะเค้าทำไว้ขาย เลยขออนุญาติเก็บภาพเป็นที่ระลึกสักสองสามช็อต เราได้ชิมแบบอบกรอบ รสชาติหวานเปรี้ยวคล้ายทานมะเขือเทศ และมีวางขายเป็นกระปุกของฝาก
อาจจะด้วยความที่ตื่นเช้าแล้วนั่งรถวนขึ้นเขา ที่ปิเอตราเปอร์โตซาเราจึงมีอาการมึนบ้างเล็กน้อย แต่หากเทียบกับทางขึ้นเขาของไทยเส้นทางขึ้นเขาที่หมู่บ้านนี้อยู่ในระดับเด็กอนุบาลไปเลย จุดนี้จึงเหมือนเป็นจุดแวะพักเพื่อปรับสภาพร่างกาย นั่งซดกาแฟอิตาลีเข้ม ๆ ไฮไลท์จะอยู่ที่คาสเตลเมซซาโน่
“ใกล้เข้ามาแล้ว…” เราพึมพำอยู่ในใจ
ภายใต้รอยยิ้มนิ่ง ๆ บนใบหน้า ก็มีความรู้สึกกระโตกกระตากโวยวายเป็นไก่ตื่นกับกิจกรรมที่เรากำลังจะทำถัดจากนี้ Volo dell’Angelo เป็นการโหนซิปไลน์เหินเวหาท้าความเสียว ที่มีความสูงถึง 1,000 เมตร ด้วยระยะทาง 1,500 เมตร ข้ามหุบเขาจากหมู่บ้านปิเอตราเปอร์โตซาไปยังหมู่บ้านคาสเตลเมซซาโน่
แม้จะทำการบ้านมาพอสมควรทั้งความปลอดภัย นั่งดูคลิปคนที่เคยเล่น ก็อุ่นใจว่าเราน่าจะทำได้ แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาที่เราจะเล่นจริง ๆ มันก็รู้สึกเสียววาบอยู่ในใจอยู่บ้าน
เอาน่ะ Once in a lifetime! ปลุกความกล้าให้ตัวเอง
เจ้าหน้าที่จุดนี้จะช่วยเลือกชุดห่อตัว ชุดควรกระชับพอดี ไม่หลวม และไม่แน่นจนเกินไป พร้อมกับมีกระดาษคลุมผมแบบใช้ครั้งเดียวให้สวมก่อนสวมหมวกนิรภัย
สวมชุดเรียบร้อยแล้วแต่ละคนก็จะได้รับเหล็กหนักเกือบสองถึงสามกิโลถือไว้คู่กาย เหล็กนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ที่เราใช้โหนซิปไลน์ จะโหนเดี่ยวหรือโหนคู่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่แรก เพราะเหล็กที่ได้มาจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน
หลังจากนั้นแต่ละคนก็ต้องเดินต๊วมเตี้ยมราวกับนกอีมูด้วยชุดที่ห่อตัวไว้ พร้อมกับยังต้องแบกเหล็กคู่กายเดินไปยังจุดที่เราจะโหนซิปไลน์
ความตื่นเต้นทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมายืนอยู่ ณ จุดปล่อยตัว ยิ่งตอนที่ห้อยตัวแล้วเท้าลอยจากพื้นยิ่งต้องเรียกความมั่นใจของตัวเองให้คืนกลับมา อย่างน้อยก็อุ่นใจที่เจ้าหน้าที่มีขั้นตอนการตรวจเช็คอุปกรณ์และความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ก่อนปล่อยตัวเจ้าหน้าที่จะมีผ้าสามเหลี่ยมติดไว้ด้านหลังแต่ละคนเพื่อต้านแรงลม ความกว้างใหญ่ของผ้าแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่จึงจะถามน้ำหนักของเราด้วยว่าหนักเท่าไหร่ เพื่อจัดอุปกรณ์ให้พอดีกับน้ำหนักแต่ละบุคคล
เจ้าหน้าที่ปลดสายล๊อคนิรภัยพร้อมปล่อยตัว เพียงใช้มือจับขาเราส่งเบา ๆ เราก็ไหลลู่ไปตามเส้นสลิง สติตอนนั้นรู้แต่ว่าต้องปล่อยเสียง วู้ว วู้ว เพื่อคลายความตื่นเต้น
เราก็ร้องวู้วไปตลอดทาง ลมเย็นและแรงมาก อ้าปากไปมีอาการคอแห้ง อยากจำลองความรู้สึกต้องลองใช้เครื่องเป่าลมเป่าหน้าแรง ๆ ในห้องแอร์ความเย็นประมาณ 15 องศา ความรู้สึกน่าจะราวๆ นั้น แนะนำใครที่ใส่คอนแทคเลนส์ให้ระวังเรื่องตาแห้ง เพราะลมเป่าตาแรงมาก ควรสมแว่นกันลมขณะโหนสลิงด้วย
ทะยานลอยฟ้ามาด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านเหวลึก ๆ ก็มีความรู้สึกเสียววาบที่ท้องน้อยอยู่บ้าง ความสวยงามของวิวหุบเขาในมุมมองที่ได้เห็นก็เซอร์ไพรซ์มากเช่นกัน ซิปไลน์พาเราพุ่งทะยานไปด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เค้าบอกว่านี่เป็นการโหนซิปไลน์จำลองว่าเราเป็นเทวดา เห็นวิวแบบนกบิน เอาน่ะครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราได้ลองบินแบบเทวดาก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ได้ทำแล้วกลับมาเล่าจนน้ำลายแตกฟองได้อีกหลายรอบ
จุดที่ลงซิปไลน์เป็นโซนหมู่บ้านคาสเตลเมซซาโน่ ไม่ถึงกับติดหมู่บ้าน ต้องนั่งรถยนต์เข้าหมู่บ้านต่ออีกประมาณ 5 นาที แต่ละคนก็ยังอยู่ในอาการตื่นเต้นจาก Volo dell’Angelo เล่าความรู้สึกกันเสียงจอแจ
เมื่อถึงหมู่บ้านคาสเตลเมซซาโน่ ก็เริ่มเดินทัวร์ในหมู่บ้าน พร้อมกับมุ่งตรงไปยังจุดชมวิวที่สูงที่สุดของหมู่บ้าน คาสเตลเมซซาโน่สร้างอยู่ในหุบเขา เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวกรีกโบราณในช่วงศตวรรษที่ 5– 6 และเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี มีป้ายประกาศติดไว้ตั้งแต่ต้นทางเข้าหมู่บ้าน
เดินเล่นชมบรรยากาศ พร้อมแวะเก็บภาพไปเรื่อย ๆ จากการที่หมู่บ้านตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้ถนนหนทางต่าง ๆ ภายในหมู่บ้านสูงต่ำไม่เท่ากัน เป็นทางลาดที่เดินไม่ยากนัก บรรยากาศภายในหมู่บ้านนั้นโรแมนติกมาก ๆ อาคารสีส้มอิฐผสมผสานกับทางเดินภายในหมู่บ้านนั้นงดงามเหมือนกับเดินอยู่ในเมืองนิทานย้อนยุค
อิตาลีเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เป็นของตัวเองใครที่อยากสัมผัสอิตาลีในมุมมองใหม่ ๆ เราขอแนะนำให้ลองมาย้อนรอยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ พร้อมชมความสวยงามแบบอันซีนในดินแดนมรดกโลกอย่างอิตาลีตอนใต้ รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักเมืองต่าง ๆ ของอิตาลีอย่างไม่รู้ตัวกันเลยทีเดียว
__________________________________
NEXT STOP SOUTH ITALY!
ไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์ในเส้นทางอิตาลีใต้ พร้อมพิกัดเมืองสวยติดอันดับอันซีน
https://www.sotraveler.com/south-italy/
เปิดประสบการณ์พิซซ่าสูตรต้นตำรับที่ “เนเปิลส์ (Naples)”
https://www.sotraveler.com/pizzeria-da-michele-naples/
“ปอมเปอี (Pompeii)” เมืองโบราณใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟที่(เคย)ถูกลืม
https://www.sotraveler.com/pompeii/
สัมผัสความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมที่พระราชวังกาแซร์ตา (Caserta Royal Palace and Park)
https://www.sotraveler.com/caserta-royal-palace/
ชมความน่ารักของหมู่บ้านฮอบบิทแห่งอิตาลี ที่ อัลเบอโรเบลโล (Alberobello)
https://www.sotraveler.com/trullo-alberobello/
ดื่มด่ำเสน่ห์ 3 เมือง 3 สไตล์ เลชเช่ (Lecce) กัลลิโพลี (Gallipoli) และ ออสทูนี (Ostuni)
https://www.sotraveler.com/lecce-gallipoli-ostuni
หมู่บ้านหิน “มาเทรา (Matera)” ชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/matera/
ปิดท้ายเส้นทางอิตาลีใต้ด้วยกิจกรรมสุดตื่นเต้นและหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/castelmezzano/
พามาชิมไวน์ในโรงบ่มไวน์ ไร่องุ่นภูเขาไฟ Bosco de Medici เมืองปอมเปอี ประเทศอิตาลี
https://www.sotraveler.com/bosco-de-medici-winery/