ถ้าให้พูดถึงร้านอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งสักร้านที่ควรไปลองให้ได้ ร้าน ไชย เจีย ชัย (Chai Jia Chai) แห่งนี้คงจะต้องอยู่ในเช็คลิสต์แน่นอน กับร้านโอมากาเสะจีนกวางตุ้งแห่งแรกในไทย โดย “เชฟไช่” (Tsai Shih Wei) เชฟผู้มากด้วยความสามารถและประสบการณ์กว่า 25 ปี ในวงการร้านอาหารทั้งใน ฮ่องกง หนานจิง เซี่ยงไฮ้ และโปแลนด์ ดีกรีผู้ชนะจากรายการเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย (Iron Chef Thailand) ที่ตั้งใจนำเสนออาหารจีนแบบคลาสสิกผสานด้วยเทคนิคการปรุงอาหารแบบใหม่ ผ่านวัตถุดิบชั้นเลิศนานาชนิด
ซึ่งการแวะมาที่ ไชย เจีย ชัย (Chai Jia Chai) ของ SOtraveler ในคราวนี้ ถือเป็นการได้มาลิ้มลองคอลเลกชั่นที่ 2 ที่ทางเชฟไช่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก The Man-Han Banquet หรืองานเลี้ยงในตำนานสมัยราชวงศ์ชิงที่ยิ่งใหญ่ เพื่อฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา 66 พรรษาของจักรพรรดิคังซี และมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างชาวแมนจูและชาวฮัน ภายในงานมีการนำเสนออาหารจากทั้งทางเหนือและทางใต้กว่า 108 เมนู โดยเน้นรสชาติท้องถิ่นเป็นหลัก อาจกล่าวได้ว่าอาหารจีนจากงานเฉลิมฉลองนี้ เป็นสมบัติและการแสดงถึงสถานะอันสูงสุดของวัฒนธรรมจีนเลยก็ว่าได้
เริ่มต้นมื้อแห่งการเฉลิมฉลองนี้ด้วย Beginnings Trio กับเมนูเรียกน้ำย่อยที่เสิร์ฟมาถึงสามแบบสามสไตล์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Black Tiger Shrimp with Caviar อบอวลไปด้วยกลิ่นความสดของกุ้งกุลาดำ ที่เข้ากันได้ดีกับคาเวียร์ เพิ่มเท็กเจอร์เล็กน้อยด้วยมันฝรั่งและมันเทศ เป็นคำแรกที่เปิดรสชาติได้อย่างดีเลย ต่อด้วย Five-Spice Squid กับหมึกที่ปรุงด้วยซอสกล้วย กระเทียม ผักชี ขิง และพริก ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ให้ความหอมอร่อยและจัดจ้าน ก่อนปิดท้ายด้วย Taiwanese Mullet Roe with Cheese ทั้งสดชื่นและนุ่มลึกในคำเดียว ด้วยรสชาติของไข่ปลากระบอกซึ่งเป็นวัตถุดิบอันขึ้นชื่อของไต้หวัน ผสานด้วยความเข้มข้นและความหอมของชีส เป็นคำที่ค่อนข้างประทับใจทีเดียว




ต่อกันที่เมนูที่ 2 อย่าง Tallop กับเต้าหู้หอยเชลล์ฮอกไกโดรสละมุน ท็อปด้วยคาเวียร์ ปาท่องโก๋ และกุ้งซากุระแห้ง ช่วยเสริมรสชาติให้สนุกสนาน แถมรายล้อมด้วยซุปหอยเชลล์ที่ปรุงกับตัวหู้ ละมุนลิ้นจนหยดสุดท้ายเลย

มาที่ Lobster with Fujian Shacha Sauce กับการผสมผสานกันระหว่างบลูล็อบเตอร์และซอส Fujian Shacha ที่มีรสชาติคล้ายซอสบาร์บีคิว เมื่อทานพร้อมกันให้รสชาติที่จัดจ้าน กับความหอมที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

พลาดไม่ได้กับเมนูจากงานเลี้ยงในตำนานอย่าง “พระกระโดดกำแพง” หรือ Buddha Jumps Over The Wall with Red Wine Eel ซึ่งถือว่าเป็นเมนูชั้นสูง หอมสุด ๆ ด้วยซุปที่ผ่านการตุ๋นอย่างดีถึง 48 ชั่วโมง จนกลมกล่อมและเข้าเนื้อ พร้อมกับวัตถุดิบชั้นเลิศอย่าง กระเพาะปลาเหลือง หมึกแห้งยักษ์ขนาด 10 กิโลกรัม ที่ตากแห้งจนเหลือเพียง 2 กิโลกรัมเท่านั้น หอยเป๋าฮือสด หอยเชลล์แห้ง หอยสังข์ ไข่นกกระทา เห็ดหอม แฮมยูนนาน และไวน์สมุนไพรหวู่เจีย รสชาติทานง่ายและคล่องคอ อร่อยจนไม่อยากให้เหลือเลย

ยังคงรักษาจังหวะของรสชาติได้ดีกับ Taiwanese Lu Rou ที่เชฟนำเผือกไปเคี่ยวกับ Black Truffle พร้อมราดด้วยซอส Lu Rou ตัวเผือกค่อนข้างอร่อย ตัวซอสรสชาติกลมกล่อม ก่อนปิดท้ายด้วยทรัฟเฟิลหอม ๆ เป็นอันสมบูรณ์แบบ

ตัดเลี่ยนด้วยเมนู Dried Prune, Tomato, Peach Gum ที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดา ด้วยมะเขือเทศเชอรี่ยัดไส้ลูกพลัมหมักอันหอมหวาน เปรียบเสมือนเป็นของว่างอันยอดเยี่ยมของไต้หวัน รสชาติชุ่มฉ่ำถือเป็นการตัดเลี่ยนได้ดีทีเดียว

ไม่ลองไม่ได้กับ Porcini with 15 Heads Dried South African Abalone เชฟเลือกใช้หอยเป๋าฮือแอฟริกาใต้ขนาด 15 ตัว ที่ใช้เวลา 6 – 8 ปีในการเติบโต ก่อนนำไปตากแดดเป็นเวลาถึง 8 เดือน และเก็บในสภาพแวดล้อมพิเศษเป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนที่สุด ก่อนเสริมความอร่อยของจานนี้ด้วยเห็ดพอร์ชินีรสเข้มข้น รองด้านล่างด้วยมันแกวและมันฝรั่งช่วยเพิ่มเท็กเจอร์ได้ดี เป็นเมนูที่ตรึงตาตรึงใจเป็นอย่างมาก

ล้างปากด้วย Bird’s Nest ถือเป็นเมนูล้างปากที่อร่อยที่สุด กับรังนกที่คลุกเคล้ากับถั่วและงา เพิ่มรสสัมผัสด้วยแตงกวา ก่อนราดซอส Shanzi อายุ 30 ปี ที่รสชาติเข้มข้นอร่อยเข้ากันเป็นอย่างมาก

เข้าสู่เมนูจานหลักกับ Dry-Aged A5 Wagyu เชฟเลือกใช้เนื้อส่วนฟิเลมิยอง ซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด นำไป Dry-Aged เป็นเวลา 30 วัน โดยเชฟได้ตัดเนื้อส่วนที่ไม่ดีทิ้งราว 30% – 40% เพื่อให้ได้เนื้อส่วนที่ดีที่สุด ตัวเนื้อสุกกำลังดี นุ่มละลายในปาก เพิ่มรสชาติด้วยซอสกระเทียมดำจากจังหวัดศรีสะเกษรสเข้มข้นหอมกลิ่นพริกไทย เสิร์ฟมาพร้อมหัวไชเท้าดองราดด้วยซอสมิโสะสุดอร่อย

ต่อด้วยเมนู Signature ที่แวะมาถึง ไชย เจีย ชัย (Chai Jia Chai) แล้ว จะต้องลองให้ได้กับ Alaskan King Crab Porridge เมนูนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Marseille’s Fish Soup หรือซุปปลาของฝรั่งเศส โดยเชฟเลือกเอามันกุ้ง แครอท มะเขือเทศ และหัวหอมมาเคี่ยวรวมกันเป็นเวลา 8 ชั่วโมง ก่อนจะนำมาเสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยและข้าวพองเพิ่มรสสัมผัส ท็อปด้านบนอย่างอลังการด้วยปูอลาสก้า อูนิและคาเวียร์ และสามารถเพิ่มรสชาติได้ตามใจชอบด้วย หัวไชเท้าแห้ง ซอสหัวหอมผัดพร้อมน้ำมันไก่เพิ่มความมัน และน้ำพริกเห็ดเจ็ดชนิดเพิ่มความจัดจ้าน เป็นข้าวต้มที่อร่อยละมุนลิ้นและละมุนท้องมาก

ก่อนปิดท้ายด้วยหลากหลายเมนูของหวานและผลไม้ ไม่ว่าจะเป็น Double Skin Milk Pudding and Sweetened Vinegar Sauce เมนูสดชื่นลื่นคอด้วยพุดดิ้งนมและน้ำส้มสายชูหวานจากฮ่องกง ซึ่งให้ทั้งความหวานและเปรี้ยวไปพร้อม ๆ กัน ตามมาติด ๆ ด้วย Taro and Peanuts กับเผือกและถั่วแสนอร่อย ก่อนปิดท้ายด้วย Petits Fours ที่เสิร์ฟมาสามคำสามสไตล์กับ Rose Cake ที่หอมกลิ่นกุหลาบทันทีที่เข้าปาก หรือจะเป็น Longan Luo Han Guo เนื้อเจลลี่ให้รสชาติของสมุนไพรหล่อฮังก๊วยและพุทราชุ่มคอ ก่อนปิดท้ายด้วย Hawthorn Jujube กับพุทราแห้งและฮอว์ธอร์นที่หวนให้นึกถึงขนมในความทรงจำวัยเด็กจริง ๆ


เรียกว่าทุกเมนูของ “เชฟไช่” ผ่านกระบวนการคิดและรังสรรค์อย่างตั้งใจ เพื่อแสดงถึงศิลปะและวัฒนธรรมอันงดงาม ผสานกับจังหวะของรสชาติที่ลงตัว แถมสอดแทรกส่วนประกอบจากความทรงจำในวัยเด็กที่บ้านเกิดของเชฟได้เป็นอย่างดี ทำให้เราได้ลุ้นและตื่นเต้นไปกับทุกเมนูได้อย่างไม่เกินจริง แวะมาสัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่าที่อาจหาที่ไหนไม่ได้ ที่ ไชย เจีย ชัย (Chai Jia Chai) ซอยสุขุมวิท 31 แล้วคุณจะไม่ผิดหวังที่ได้ลิ่มลองเลย
Chai Jia Chai
- Location: 265/2 ซอยสุขุมวิท 31 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
- Opening Hours: ทุกวัน 11.00 น. – 14.00 น. และ 17.00 น. – 22.00 น.
- Reservations: 093-117-1909
- Social Media: Facebook: Chai Jia Chai 蔡家菜 – ไชย เจีย ชัย | Instagram: @chaijiachai.bkk