ในปัจจุบัน หนึ่งในประเภทอาหารที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก็มีอาหารเกาหลีโดยเฉพาะประเภท”เนื้อย่างเกาหลี” ที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนหมู่มาก แต่หากจะพูดถึงร้านเนื้อย่างเกาหลี ที่มีความหลากหลายของเมนูอาหาร และ ความหลากหลายของเนื้อประเภทต่างๆ ทาง SOtraveler ขอยกเอาหนึ่งในร้านอาหารเกาหลีน้องใหม่อย่าง “Charm Korean Steak House” ที่ล็อบบี้โรงแรม Novotel กรุงเทพฯ สุขุมวิท 20 มาแนะนำกันครับ
สำหรับเจ้าของร้านอาหารนั้นในอดีต เคยมีประสบการณ์ในการทำร้านอาหารเกาหลีมาก่อนหน้านี้แล้วถึง 2 ปี ซึ่งร้านอาหารก่อนหน้านี้ของเค้านั้น อาจจะไม่ได้ใช้เนื้อคัดเกรดพรีเมียม แต่สำหรับ Charm Korean Steak House เค้าได้เลือกที่จะใช้เนื้อเกรดพรีเมี่ยมมาบริการและนำประสบการณ์ ณ ตรงนั้นมาพัฒนาร้านเนื้อย่างเกาหลีร้านนี้ ให้ดีครบทุกด้าน
หากคุณเดินเข้ามาในล็อบบี้ของโรงแรมทางด้านขวาจากประตูโรงแรม นั่นคือที่ตั้งของร้านอาหาร Charm Korean Steak House และเมื่อเดินเข้าสู่ตัวร้านอาหาร คุณจะได้เห็นถึงสไตล์ของร้าน ที่ถูกตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่ยังมีความหรูหรา ด้วยพาเลตสีที่มีความมืด อย่างไม้สีน้ำตาลอ่อน ปูนเปลือย และ โต๊ะหินอ่อนสีดำ ที่ให้ฟีลลิ่งเหมือนกับว่าเรานั้นกำลังอยู่ในร้านกาแฟ ที่ดูมีระดับร้านหนึ่ง
สำหรับแสงไฟในร้านนั้น ทางร้านได้ใช้โทนสีที่ให้ความสว่าง แบบโทนสีเหลืองอ่อนๆ ที่ให้ความอบอุ่นและความเป็นกันเองไปพร้อมๆกัน
ในส่วนของการจัดแจงร้าน ทางร้านได้จัดแจงให้ดูมีความโปร่งสบาย รวมถึงระบายอากาศที่สะดวก จึงไม่ต้องกลัวว่าควันจะฟุ้งร้านเลย และหนึ่งในความพิเศษของร้านนี้ คือทางร้านนั้น จะมีที่นั่งแบบ บาร์ 2 คนให้ได้นั่งทานกันด้วย รวมถึงเตาส่วนตัวสำหรับ 2 คน ในกรณีที่ลูกค้ามาเดทกัน 2 ต่อ 2 ก็จะดูโรแมนติกเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีก และทางร้านนั้น ยังมีห้องรับรองส่วนตัว สำหรับแขกผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารกับครอบครัวแบบส่วนตัว หรือ ห้องรับรองส่วนตัวขนาดใหญ่ ในกรณีที่ต้องการนัดสังสรรค์ ด้วยตัวเตาย่างเป็นเตาย่างในแบบเกาหลีดั้งเดิม ซึ่งเป็นเตาถ่าน และ ตะแกรงเหล็กอย่างดี จึงทำให้ตัวเนื้อที่ถูกย่างลงบนเตานั้น ไม่ติดตะแกรงเลย
หนึ่งในจุดเด่นของทางร้านนั้น คือการที่วัตถุดิบของทางร้าน ตั้งใจที่จะคัดเลือกวัตถุดิบต่างๆ ให้มีความเป็น Organic 100% เฉกเช่น กิมจิ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่สดใหม่ และ ถูกต้องตามสูตรแท้ๆของต้นฉบับ นั่นจึงทำให้ความรู้สึกเมื่อได้รับประทานเข้าไปแล้วนั้น จะมีความรู้สึกเหมือนเป็นอาหารเกาหลี Homemade ที่มีรสชาติถูกต้องตามแบบต้นฉบับ ซึ่งในส่วนของเนื้อวัวส่วนใหญ่ก็จะเป็น Grass feed ทำในเนื้อนั้นลีนและนุ่มในเวลาเดียวกัน
สำหรับ Side dish ที่ทางร้านได้ทำการเสิร์ฟมาให้ก่อนนั้น จะมีทั้งหมด 4 อย่างคือ กิมจิ ไชเท้า ไข่ และ มันฝรั่ง ซึ่ง Side dish ทั้งหมดนั้นสามารถ Refill เพิ่มได้ตลอด
สำหรับซอสที่ได้ทำการเสิร์ฟมาให้นั้น จะมีทั้งหมด 2 อย่าง นั่นคือน้ำจิ้มที่มีส่วนผสมที่ทำมาจากเต้าเจี้ยวทำให้มีรสชาติที่เค็มแต่ละมุน กับน้ำจิ้มที่มีส่วนผสมมาจากพริกกิมจิหรือพริกโคชูจางนั่นเอง ที่จะให้รสชาติที่ออกไปทางหวานนิดๆและมีกลิ่นของพริกกิมจิเล็กน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำจิ้มที่ได้รับความนิยม ควบคู่กับเกลือญี่ปุ่น ที่ถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มทั้ง 2 อย่างนี้ โดยที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะจิ้ม พริกกิมจิ และ เกลือญี่ปุ่น คู่กันกับเนื้อ เพราะจะทำให้มีรสชาติ หวานๆและได้กลิ่นกลิ่นหอมของพริกกิมจิ ที่ช่วยชูรสชาติของกลิ่นเนื้อขึ้นมา โดยที่มีความเค็มของตัวเกลือญี่ปุ่นคอยตัดเอาไว้อยู่
อาหารเพิ่มเติม จะมีในส่วนของ Jabche หรือ ผัดวุ้นเส้นเกาหลี ที่มีกลิ่นหอมและตัวของวุ้นเส้นที่ให้รสสัมผัสเหมือนกับเส้นบุก จึงทำให้มีความกรุบและหอมหวานจากผักที่ถูกผัดมาพร้อมกัน
นอกจากนั้น ยังมี ยำสลัดผัก ที่ให้กลิ่นอายของกิมจิผสมอยู่ในตัวของยำด้วย จึงทำให้รสชาติของยำสลัดผักตัวนี้นั้น มีรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยในตอนต้น และตามด้วยรสหวานของตัวกิมจิ และ ผักที่อยู่ที่ปลายสัมผัส โดยที่กลิ่นเครื่องยำ และ กลิ่นของกิมจินั้น ไม่ได้ฉุนมากจนเกินไป สามารถนำมาทานกับเนื้อได้ด้วย
มาต่อกันที่บรรดาพระเอกของงาน ซึ่งก็คือเหล่าบรรดาเนื้อเกรดพรีเมียมต่างๆ ซึ่งทางเรานั้น ขอแนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญ ณ ร้านอาหาร เป็นผู้ที่ย่างเนื้อให้จะดีที่สุด เพราะเนื้อแต่ละส่วนนั้นจะมีระดับความสุขที่แตกต่างกัน และจุดประสงค์สำหรับการแนะนำในจุดๆนี้ ก็เพื่อที่จะให้ลูกค้า ได้ลิ้มรสชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่หากสะดวกจะปรุงเองสามารถบอกพนักงานได้
แรกเริ่มสุดนั้น ทางพนักงานจะนำกระเทียม ไปปิ้งบนเตาถ่านก่อนเพื่อให้กลิ่นของกระเทียมนั้นซึมซับเข้าสู่ส่วนอื่นๆที่จะปิ้งต่อหลังจากนั้น ตามด้วย เนื้อซึ่งทางพนักงานนั้น จะตัดส่วนติดมันของเนื้อมาปิ้งก่อน ก่อนที่จะนำเนื้อติดมันส่วนนั้น มาละเลงลงบนเนื้อที่กำลังปิ้ง เพื่อให้เกิดกลิ่นที่หอม หวาน และ มัน มากขึ้นบนตัวเนื้อ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักจะรับประทานคู่กับน้ำจิ้มพริกกิมจิ และ เกลือญี่ปุ่นครับ
สำหรับเนื้อตัวแรกที่เราจะมาพูดถึงกันนั้น นั่นคือ Stripedlion Wagyu A4 ซึ่งตัวเนื้อนั้น จะมีความมัน รสสัมผัสที่นุ่ม และความช่ำที่อยู่ในตัวเนื้อ รวมถึงความหวานของตัวเนื้อที่จัดได้ว่ากำลังพอดีมากๆ ซึ่งเราขอแนะนำให้กินคู่กับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ที่จะมีความเค็มของมันมาตัดกับความหวานของตัวเนื้อกันได้อย่างพอดี อีกทั้ง หากกินพร้อมกับเบียร์ Sapporo Draft ที่มีความขมเล็กน้อย ความหวานของมัน จะไปตัดกับขมของเบียร์ให้มีความนุ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยดึงรสชาติของเนื้อให้เด่นขึ้นไปพร้อมๆกันอีกด้วย
ต่อกันที่ Rib Eye ที่ถึงแม้ว่าตัวเนื้อนั้น จะมีกลิ่นของเนื้อที่ออกมาน้อยกว่า Wagyu แต่ ต้องยอมรับว่า ตัวเนื้อ Rib eye ของที่นี่นั้น จะมีความนุ่มและหนึบ แต่ก็ยังมีความละมุนอย่างมากเช่นกัน ซึ่งหากรับประทานพร้อมกับผัก น้ำจิ้มพริกกิมจิ และเกลือญี่ปุ่น จะทำให้รสชาติกลมกล่อมเข้ากันและครบรสอย่างมาก โดยส่วนของRib eye นั้น เป็นหนึ่งในส่วนที่ขายดีที่สุดของร้านเลยด้วย
Skirt เป็นอีกหนึ่งส่วนของตัวเนื้อ ที่มีมันอยู่เยอะ จนทำให้ตัวเนื้อความละมุนอย่างมาก ถึงแม้ว่าตัวเนื้อในส่วนของ Skirt นั้น จะมีความเหนียวมากกว่า 2 ตัวแรกเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากนำไปห่อผัก และรับประทานควบคู่กับน้ำจิ้มพริกกิมจิ และ เกลือญี่ปุ่น จะช่วยดึงรสชาติของกลิ่นเนื้อ และกลิ่นกระทะได้ดีมากๆ
Tenderloin หนึ่งในส่วนของตัวเนื้อที่มีมันเยอะที่สุด ทำให้สีของตัวเนื้อก่อนที่จะนำไปลงกระทะนั้น สวยงามอย่างมาก อีกทั้งตัวเนื้อนั้น ยังมีความนุ่มละลายในปาก และไม่มีความเหนียวเลย ถึงแม้ว่าตัวเนื้อจะมีกลิ่นที่แรงกว่าตัวอื่น แต่หากรับประทานพร้อมกับผักที่นำมาห่อ และน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว มันจะเกิดการผสานตัวกันอย่างกลมกล่อม และเข้ากันได้ดีมากๆ
เนื้อส่วนสุดท้ายที่จะมาพูดถึงกันนั้น จะเป็นในส่วนของ Intercostal ที่มีความกลมกล่อม และเหนียวนุ่มในระดับกำลังพอดี อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ที่ช่วยดึงรสหวานของตัวเนื้อให้มากขึ้นไปอีก รวมถึงความเค็มจากตัวซอสที่ไปตัดกัน จึงทำให้รสชาติ กลมกล่อมอย่างมาก
นอกจากบรรดาพระเอกของงานอย่างตัวเนื้อนั้น ทางร้านก็ยังมีเมนูอื่นที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น ซุปทะเลกิมจิ ที่มีกลิ่นของมันปูเตะจมูกอย่างมาก รวมถึงกลิ่นของกิมจิที่หอมมากๆ ผสมกลมกลืนกับตัวของมันปูเช่นกัน ซึ่งตัวซุปนั้น มีความเผ็ดเพียงเล็กน้อย กำลังพอดีมากๆ อีกทั้งยังมีความกลมกล่อมและหวานมันจากตัวของมันปูเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งกุ้งและปูที่ถูกเสริฟมาพร้อมกับซุปนั้น ก็มีขนาดใหญ่เช่นกัน
Pancake Seafood อีกหนึ่งเมนูที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่ได้รับประทานเข้าไปแล้ว จะได้รับถึงรสสัมผัสที่กรอบนอก นุ่มใน รวมถึงกลิ่นความหวานจากวัตถุดิบในตัว Pancake ตัวนี้ ที่มาจากส่วนผสมต่างๆเช่น ตัวแป้ง ไข่ และ ผักชนิดต่างๆ
ในส่วนของของหวานที่ทางร้านจัดมาให้นั้น จะเป็นในส่วนของ Ice cream homemade ที่มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ วานิลลา และ มัจฉะ โดยทางไอศกรีม มัจฉะ จะถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับถั่วแดง ที่เนื้อของถั่วแดงนั้นมีความเนียน และ ละเอียดอย่างมาก ซึ่งตัวไอศกรีม มัจฉะเองนั้น ก็มีกลิ่นหอมของนม และรสชาติของชาเขียวผสมกันได้อย่างพอดี และเนื้อของไอศกรีมนั้น ยังมีความเป็นเกร็ดน้ำแข็งผสมอยู่ด้วยเช่นกัน
ในส่วนไอศกรีมวานิลลา เราขอพูดไปพร้อมกับอีกหนึ่งเมนูที่ถูกจัดมาให้พร้อมกัน นั่นคือ ไอศกรีมวานิลาเสิร์ฟพร้อมกับมันม่วงทอด ที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่ด้วยเนื้อของไอศกรีมที่มีความเนียนและมีเกร็ดน้ำแข็งผสมอยู่ด้วย มันช่วยสร้างความละมุนและเติมเต็มรสสัมผัสของมันให้เชื่อมกันได้อย่างพอดี โดยกลิ่นของน้ำผึ้งที่ถูกเสิร์ฟมาพร้อมกันในจานที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม
สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาร้านอาหาร เนื้อย่างเกาหลี ที่เน้นคุณภาพ และรสชาติที่เอร็ดอร่อย ทาง SOtraveler ก็ขอแนะนำให้ทุกท่านไปลองสัมผัสกันได้ที่ Charm Korean Steak House ที่ ล็อบบี้โรงแรม Novotel กรุงเทพฯ สุขุมวิท 20 ครับ เราเชื่อว่าทุกท่านจะได้รับความประทับใจจากรสชาติ และ คุณภาพของอาหารกลับไปอย่างแน่นอน