หากคุณไปเอเชียทีค แล้วเลือกไม่ถูกว่าจะนั่งทานร้านไหนดี เรามีร้านสไตล์บาร์แอนด์บิสโทรที่ตั้งอยู่คู่เอเชียทีคตั้งแต่เริ่มเปิด เช็คเมทบาร์แอนด์บิสโทร ( Checkmate Bar & Bistro ) ตั้งอยู่โซนโกดัง 10 โกดังริมสุดฝั่งซ้ายมือหากหันหน้าออกเจ้าพระยา แม้ร้านจะไม่ได้อยู่ในโซนถนนเส้นหลักที่คนเดินผ่านเยอะๆ แต่เรากลับมองว่านี่กลายเป็นสเน่ห์ที่เข้ามาแทนที่ ราวกับเป็นซีเคร็ท บิสโทร หากมองจากด้านนอกแต่ข้างในกลับสร้างบรรยากาศสุดชิลล์เอาท์ท่ามกลางอาหารและเครื่องดื่มรสชาติดี และเรายังมี “ความลับ กับความอร่อยของที่นี่อีกหนึ่งอย่างตอนท้ายรีวิว อ่านให้จบแล้วจะพบของดี
เราเริ่มต้นด้วยการสั่งเมนูในหมวด STEAK & GRILL – PREMIUM มาแบ่งกันชิมกันคนละเมนูกับ สเต็กแซลมอนซอสเพสโต้พริกขี้หนู (412.- บาท) และ ซี่โครงหมูบาร์บีคิว (447.- บาท) SOUP & CURRY เแกงเขียวหวานหมูตุ๋น (235.- บาท) เป็นเมนูที่เรียกความน่าสนใจสำหรับเรามากที่สุด หมวด THAI SALAD ส้มตำไทยไข่เค็มกุ้งกรอบ (212.- บาท) SALAD หลนกุ้งหมูสับตะกร้าผักสด (212.- บาท) MAIN DISH ข้าวผัดหมูกรอบพริกขี้หนูสวน (212.- บาท) และ ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือกุ้ง เทมปุระและหมูบะเต็ง259.- บาท) และตบท้ายด้วยหมวด PASTA เราสั่งสปาเก็ตตี้หอยลายพริกเผา (235.- บาท)
สำหรับการบริการของพนักงานถือว่า บริการดีเกินมาตรฐานเลยล่ะสำหรับร้านแสตนด์อโลนแบบนี้ สัมผัสได้ว่าเจ้า ของร้านหรือใครที่เป็นคนตั้งมาตรฐานการบริการของ Checkmate มีความรู้และเข้าใจที่จะหยิบเอามาตรฐานการบริการดีดีมาบรรจุอยูในร้าน
ทางด้าน Mood and Tone ก็สะท้อนความสามารถทางด้านงานออกแบบและการตกแต่งของนักออกแบบเป็นอย่างมาก Checkmate แสดงคอนเซ็ปต์ของภาพตารางหมากรุกและคุมโทนสีขาวและสีดำได้อย่างพอดี ไม่มืดไปไม่สว่างไป เป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์รัสติกและลอฟท์ที่มีความหรู ดูแพง
หากคุณเป็นคนที่รักสุขภาพ เวลาไปห้องอาหารทีไหนก็ไม่พลาดที่จะเล็งหาเมนูสเต็กปลาดีดี ผมขอแนะนำ สเต็กแซลมอนซอสเพสโต้พริกขี้หนู ที่จะเสิร์ฟแซลมอนชิ้นโตกับซอสเพสโต้พริกขี้หนู ให้คุณได้หอมกรุ่นกับกลิ่นโหระพาอ่อนๆ พร้อมรสเผ็ดแบบจี๊ดเล็กๆจากพริกขี้หนู รสชาติแบบนี้ถูกปากคนไทยอย่างพวกเราแน่นอน แซลมอนซอสเพสโต้พริกขี้หนู จึงเป็นเมนูที่เราอยากให้ทุกคนตามมาลองชิมกันเป็นเมนูแรก
โมเมนต์ที่ผมได้มาอยู่ในร้านอาหารที่มีตกแต่งร้านให้มีกลิ่นอายความเป็นรัสติก ผมมักจะต้องสั่งเมนู .. ซี่โครงหมูบาร์บีคิว รู้สึกว่าเป็นเมนูที่เข้ากับบรรยากาศและไม่หนักไปสำหรับมื้อค่ำ ส่วนของซี่โครงที่ทางร้านทำมาเนื้อเปื่อยนุ่ม มีรสชาติที่เข้าถึงเนื้อที่ติดซี่โครงอย่างทั่วถึง พร้อมกับรสชาติของซอสบาร์บิคิวที่ทาลงไปในระหว่างกริลล์ก็สร้างความหอม ซี่โครงหมูบาร์บีคิว เมนูนี้ทานแบบลืมซอสใดๆไปเลย ทางร้านเสิร์ฟซอสบาบิคิวมาในจาน เพื่อทานคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ รสชาติของซอสบาร์บีคิวเข้มข้น เข้ากันดีเหลือเกินเมนูนี้
เส้นสปาเก็ตตี้นุ่มเคี้ยวหนึบกับหอยลายผัดกับน้ำพริกเผา ใบโหระพา พริกไทยสด พริกแดง พริกเขียว มันคือเครื่องแกงผัดฉ่านั่นเอง ตัดรสชาติไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป พร้อมกับเติมหอมหัวใหญ่ลงไปเพื่อให้ได้ความหอมและหวานจากตัวหอม ดูคล้ายจะเผ็ดร้อนแต่ไม่เลย รสชาติกลมกล่อมกำลังดีอีกจาน
ผมเลือกสั่งหลนกุ้งด้วยเหตผลที่ว่า เวลาเราสั่งหลนปูมักจะเจอก้ามปู กระดองปูติดในในหลนไม่สะดวกต่อการทานสักเท่าไหร่ พอเราเห็นเมนูหลนกุ้งเราก็ออร์เดอร์เลยทันที เพราะเราชอบและโปรดปรานกับการทานเมนูหลนมากระดับหนึ่ง หลนกุ้งหมูสับเมนูนี้เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มและผักสด รสชาติของหลนจะเปรี้ยว เค็ม หวาน แบบกลมกล่อมกำลังพอดี
ข้าวผัดรสชาติหวานเค็มเหมือนข้าวผัดร้านดังย่านเมืองทอง เม็ดข้าวสวยผิดพร้อมกับหมูกรอบราดพริกขี้หนูสวนน้ำปลา ลงไปให้เกิดกลิ่นหอมแบบเมนูไทยดั้งเดิม ความอร่อยผมแทบไม่ต้องเล่าสาธยายมากนักสำหรับเมนูนี้ เพราะเป็นเมนูที่หลายคนคุ้นเคย หากแต่ว่าหมูกรอบสำหรับสาวๆ อาจจะไม่เป็นมิตรกับการไดเอตมาทั้งสัปดาห์ของพวกเค้าสักเท่าไหร่ แต่เอาเถอะที่นี่ยังมีหลากหลายเมนูให้เลือ แต่หากจะกดปุ่มหยุดสำหรับกฎการไดเอ็ทและนับแคลไปบ้างสักชั่วครู่ เพื่อให้คุณได้มีความสุขกับมื้ออาหารนี้อย่างเต็มที่ ก็น่าจะดี แต่สัญญาว่าต้องไปออกำลังกายชดเชยกันด้วยล่ะ อย่างน้อยก็เดินช็อปเพลินๆ ย่อยกันที่เอเชียทีคนี่ก็คงจะช่วยเบิร์นไปได้หลายแคลลอรี่อยู่นะ
ฟังดูแล้วอาจจะจำเจกับการสั่งส้มตำในร้านอาหาร แต่มันคือเมนูตัดเลี่ยนที่ดีมากเลยนะสำหรับเราที่โตมากับรสชาติอาหารไทย กระทั่งสั่งสเต็กที่ไหนหากในเมนูมีให้เลือกจานเสิร์ฟคู่ ผมก็มักจะมองข้ามเฟรนช์ฟรายส์ ข้าวหรือมันบด ไปสั่งเป็นไทยสลัดหรือส้มตำทุกทีไป ส้มตำจานนี้ไม่มีจำเจแน่นอน เพราะเป็น ตำไทยไข่เค็มกุ้งกรอบ เราชอบการนำเสนอเมนูในส่วนของการเติมกุ้งกรอบเข้ามาให้น่าสนใจ หากเป็นส้มตำไทยไข่เค็มธรรมดา เราก็อาจจะกวาดตาไปดูเพื่อเลือกเมนูอื่นก่อน รสชาติของส้มตำจานนี้มีสามรสคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ด ครบรสความเป็นส้มตำที่ควรจะเป็นจิ้มกุ้งลงไปคลุกเคล้าแล้วพันเส้นมะละกอเข้าปากทีเดียวในหนึ่งคำ อร่อยเด็ด! ยกนิ้วให้ด้วยความชอบ
หมูบะเต็ง อ่านแล้วอาจจะสะดุดและหยุดขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง ผมเฉลยว่าคือหมูอบซีอิ๊ว ทุกคนก็จะรู้จักและคุ้นเคยกันขึ้นมาทันที หมูบะเต็งจะต้องนำไปเคี่ยวกับน้ำซอสและซีอิ๊วให้ออกมาเป็นรสหวานนำมีเค็มตามเล็กน้อย หลายคนจะเหมารวมหมูหวานที่มักทานคู่กับข้าวคลุกกะปิว่านั่นคือหมูบะเต็งเหมือนกัน แต่หมูหวานจะเป็นการเคี่ยวกับน้ำตาลเท่านั้น อาจเติมเกลือหรือซอสในอัตราที่เล็กน้อยมาก
หมูบะเต็งทานคู่กับเมนูน้ำพริกได้หลากหลายเมนู ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือที่นำข้าวไปคลุกกับน้ำพริก เสิร์ฟพร้อมน้ำพริกแยกถ้วยสำหรับใครที่ชอบรสชาติที่เข้มข้น ฟิวชั่นมาด้วยกุ้งเท็มปุระ เมนูนี้เป็นเมนูสามวัฒนธรรมทางอาหารเลยนะ ทั้งบะเต็งที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางจีนเพราะมีการใช้ซีอิ้ว น้ำพริกลงเรือก็ของไทยและเท็มปุระ ก็ของญี่ปุ่น เหมือนเป็นการรวมความอร่อยในขณะที่กำลังตักทาน ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือกับหมูบะเต็งข้าวปาก ก็เอาส้อมจิ้มเท็มปุระเข้าปากตามไปด้วย ความเพลินนี้จะทำให้ทุกคนได้ลิ้มอรรถรสของเมนูจนหมดจานอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้แกงเขียวหวานจะหาทานได้ทั่วไปแต่…แกงเขียวหวานหมูตุ๋น ไม่มีให้ได้สั่งทานกันได้ง่ายๆ แน่นอน เพราะขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบหลักอย่างหมูตุ๋น ต้องใช้ระยะเวลาเคี่ยวตุ๋นให้เนื้อหมูออกมาเหนียวนุ่ม จากนั้นถึงจะนำมาทำเป็นแกงเขียวหวานได้ พริกแกงเขียวที่นำมาทำแกงเขียวหวานช่างกลมกล่อมกำลังพอดี ไม่หนักไปรสใดรสหนึ่ง แกงเขียวหวานหมูตุ๋น เมนูนี้หากบอกว่าเป็นสูตรตำหรับชาววัง ผมก็เชื่ออย่างสนิทใจเพราะตามที่ผมได้ศึกษาตำหรับตำราของอาหารไทยมา เนื้อหาที่จับใจความได้
กับคำถามที่ว่า “อาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารไทยชาววังแตกต่างกันตรงไหน…”
นอกเสียจากความประณีตและความบรรจงแกะสลักเจียงเรียงหน้าตาให้สวยงามในอาหารชาววังแล้ว รสชาติก็เป็นอีกประเด็นหลักที่ต้องทำความเข้าใจ อาหารพื้นบ้านมักจะมีรสจัดไปทางรสใดรสหนึ่ง แต่เมนูที่เสิร์ฟให้กับระดับเจ้าขุนมูลนายและในวัง ต้องปรุงให้รสชาติกลมกล่อม ไม่มีรสชาติใดรสชาติหนึ่งโดดออกมาชัดเจน อย่างเช่นเมนู แกงเขียวหวานหากทำทานกันพื้นบ้านมักจะโดดหวานหรือเผ็ด
เล่ากันเสียยาวเหยียด ชักนึกถึงเวลาที่คุณปู่คุณย่าชอบเล่าที่ไปที่มาเรื่องราวสมัยเก่าๆให้ฟัง ท่านคงมีความสุขที่ได้เล่าอย่างที่ผมได้บันทึกให้ทุกคนได้อ่านกันนี่เอง
**โปรโมชั่นหมดอายุ**
Checkmate Bistro ร้านอาหารฟิวชั่นบรรยากาศเลิศแห่ง Asiatique The Riverfront พร้อมเมนูให้เลือกหลากหลายกว่าร้อยเมนู อิ่มไม่อั้น 2 ชั่วโมงเต็ม ทุกวัน ทุกช่วงเวลา เพียงท่านละ 650 บาท Net
- ระยะเวลาโปรโมชั่น: 11 ส.ค. – 15 ก.พ. 2561
- ร้านเปิด-ปิด: วันจันทร์-วันอาทิตย์ 16:30 – 01:00 น.
- ราคา: 650 Baht NET ต่อท่าน
- จำกัดเวลา: 2 ชั่วโมง