กลับมาเยือนโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) อีกครั้ง เมื่อห้องอาหารไทยสูตรต้นตำรับอย่าง ฟร้อนท์ รูม (Front Room) เปิดตัวเทสติ้งเมนูใหม่ ที่จะพาทุกคนเดินทางไปสัมผัสกับประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตไทยในแบบฉบับดั้งเดิม พร้อมเพลิดเพลินไปกับการผสมผสานรสชาติไทยแท้และเทคนิคการทำอาหารแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว สร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครและเข้าถึงแก่นแท้ของอาหารไทยอย่างแท้จริง
นำทีมออกเดินทางโดย “เชฟปั้น” อัคควินท์ ปิตรชาต (Chef Akkawin “Pun” Pitrachart) Chef de Cuisine ที่พกประสบการณ์มาอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อนำเสนอเส้นทางการเดินทางในครั้งนี้ ให้เราได้สัมผัสถึงแก่นแท้ของรสชาติความเป็นไทยอย่างแท้จริง โดยแบ่งออกเป็น 4 บท (Chapter) หรือ 4 คอร์สหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูมิศาสตร์ นวัตกรรม รสชาติ และวิถีชีวิตในคราวเดียว
เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยก่อนออกเดินทางด้วยข้าวเกรียบกุยช่าย ขนมกุยช่ายแผ่นบางทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มรสชาติเข้มข้นแสนอร่อย ทานเพลินมาก
“Chapter 1: The Geography” บทแรกนี้เป็นการนำเสนอภูมิศาสตร์ที่สะท้อนรสชาติของอาหารอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่โดดเด่นในเรื่องของวัตถุดิบ และวิธีการทำอาหารแตดต่างกันไป โดยจะเสิร์ฟมาพร้อมกัน 4 คำ 4 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่คุ้นเคยอย่าง เมี่ยงปลาแห้งผลไม้ (Miang Pla Haeng Phon La Mai) เสิร์ฟมาในทาร์ตใบชะพลูแบบภาคกลางกับความกรอบหอมและหวานกำลังดี เปิดรสสัมผัสด้วยความสดชื่นอย่างแท้จริง หรือจะเป็น กุ้งทอดใบเล็บครุฑ (Goong Thod Bai Leb Krut) ให้รสชาติเข้มข้นสไตล์ใต้คล้ายทอดมัน ที่เพิ่มความหอมด้วยใบเล็บครุฑ เป็นคำที่อร่อยทีเดียว ต่อด้วย อ่องปู (Ong Pu) อาหารเหนือดั่งเดิมที่เสิร์ฟมาในกระดองปูนา อัดแน่นด้วยข้าวและเนื้อปูเต็มคำ ก่อนปิดบทแรกด้วย ลาบ (Lard) เมนูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ด้วยรสชาติของลาบเนื้อสไตล์อีสานบนเอ็นวัวทอดกรอบ ครบรสจนอยากทานอีก
“Chapter 2: The Innovation” ต่อเนื่องกับบทที่สอง ซึ่งเป็นการนำเสนอเทคนิคของการรังสรรค์เมนู ที่ผสมผสานตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน แวะชิมเมนูซุปที่จัดจ้านสะใจกับ ปลาบู่ต้มขิง (Pla Bou Tom Khing) เข้มข้นและกลมกล่อมด้วยน้ำซุปขิงแสนอร่อย รายล้อมปลาบู่เนื้อแน่น เป็นซุปที่อร่อยคล่องคอไม่เบา ต่อด้วย ไส้กรอกอีสานเป็ด (Sai Krog I-San Ped) เต็มคำกับไส้กรอกอีสานที่อัดแน่นด้วยเนื้อเป็ดหมัก ทานคู่กับถั่วลิสงคั่ว ขิง พริก และหอมซอย อร่อยหอมมันทีเดียว
“Chapter 3: Poetic Flavors” จัดเต็มกับรสชาติ ซึ่งเชฟต้องการรังสรรค์เมนูที่ช่วยเสริมรสชาติซึ่งกันและกัน อย่างเมนู กุ้งแม่น้ำย่าง (Goong Mae Nam Yang) กับกุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นไซส์ใหญ่ที่ย่างอย่างพอดี รับรู้ได้ถึงความสด เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มที่ได้แรงบันดาลใจมาจากน้ำจิ้มหมึกรสเข็นย่าง เข้ากันกับกุ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ต่อด้วย แกงเผ็ดใต้ปู (Gaeng Phed Tai Pu) คุ้มค่าที่จะได้ลิ้มลองความเผ็ดร้อนที่ซ่อนความเอร็ดอร่อยไว้ภายใน แม้จะดูเป็นเมนูทั่วไป แต่ด้วยการปรุงที่ใส่ใจ เผ็ดนำตามด้วยหวานมัน ทำให้เมนูนี้โดดเด่นทีเดียว ขยับมาที่เมนู เนื้อแก้มวัวย่าง น้ำพริกตาแดง (Nuea Gham Wua Yang Naam Phrik Ta Dang) ตัวเนื้อมีความคล้ายเนื้อเค็ม นุ่มแถมทานง่าย เพิ่มเติมความสนุกของรสชาติด้วยน้ำพริกตาแดงแสนอร่อย ช่วยให้รสชาติลงตัวพอดี ยิ่งเมื่อทานคู่กับข้าว ที่มีให้เลือกทั้งข้าวสวยและข้าวมันยิ่งอร่อย แถมเมนูนี้ยังเสิร์ฟมาพร้อมไข่ดอง ที่เมื่อนำไข่ดองไปคลุกกับข้าวด้วย บอกเลยว่าสวรรค์ของ #สายเนื้อ อย่างแท้จริง
“Chapter 4: Thai Way of Life” ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน กับบทที่ 4 ตั้งใจนำเสนอเรื่องราวของ ประเพณี เทศกาลและความบันเทิง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม ส่งเสริมวิถีชีวิตให้สนุกสนาน ผ่านเมนูของหวาน ที่รังสรรค์โดย “เชฟอ้น” อธิติ ม่วงทอง (Chef Athiti “Aon” Moungthong) Sous Chef กับเมนูขนมหวานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการ ชกมวย (Chok Muay) โดยเชฟเลือกนำ ส้มฉุน (Som Chun) มาทำเป็นไอศกรีมซอร์เบท เคลือบด้านนอกด้วยไวท์ช็อกโกแลตรูปนวมชกมวย อร่อยสดชื่นมาก เคียงข้างด้วย ขนมโค (Kano) วางอยู่กลางสนามมวยที่ทำจากขนมไม้ ชวนให้ตื่นตาตั้งแต่การนำเสนอกับขนมแบบดั่งเดิมที่ลอยในน้ำกะทิหอมหวาน ให้รสชาติที่แสนนุ่มนวล จนไม่อยากให้หมดเลย
ปิดท้ายด้วย Petit Fours สไตล์ไทย จัดมาในกล่องสวยงาม ให้เราได้เลือกลิ้มลองตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น ขนมกล้วย ขนมโสมนัส ข้าวพองน้ำผึ้ง และส้มซ่าเจลลี ที่ให้รสชาติแตกต่างแต่ลงตัว ช่วยทำให้มื้อพิเศษนี้ จบลงอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริง ๆ เรียกว่าการได้แวะมา ฟร้อนท์ รูม (Front Room) แห่งโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) ในครั้งนี้ เป็นการได้เปิดประสบการณ์อาหารไทยอันแสนอร่อย แถมได้สัมผัสเรื่องราวของอาหารครบทุกด้านทั้ง ภูมิศาสตร์ นวัตกรรม รสชาติ และวิถีชีวิต ที่เชฟนำมาเรียงร้อยจนกลายเป็นเมนูแสนพิเศษต่าง ๆ บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดที่จะแวะมาลิ้มลองเลย พร้อมเสิร์ฟทุกวันในมื้อค่ำ (17.30 – 22.00 น.) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ในราคา 2,900++ / ท่าน / เซต (เฉพาะค่าอาหาร)
Front Room
- Location: โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ (Waldorf Astoria Bangkok)
- Opening Hours: เปิดทุกวัน มื้อกลางวัน 11:30 – 15:00 น. และมื้อค่ำ เวลา 17:30 – 22:00 น.
- Reservations: 02 846 8888 หรือ [email protected]
- Instagram: @WaldorfAstoriaBKK