เราขอย้อนเวลาไปสักช่วงสัปดาห์ก่อน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวบรรยากาศของงาน Hospitality Night ที่เราได้รับคำเชิญจากโรงแรมให้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยงานจัดขึ้นที่ Oriental Bar ชั้น 2 ของโรงแรม Oriental Residence Bangkok (ถนนวิทยุ) ภายใต้คอนเซปต์ “Gin & Sax” ! ฟังดูน่าสนใจมากใช่มั้ยล่ะ
งาน Hospitality Night ในค่ำคืนนี้ยังคงตอกย้ำความเรียบหรู ความสง่าผ่าเผย อันเป็นเอกลักษณ์อันเด่นชัดของโรงแรม Oriental Residence Bangkok ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราเช่นกันกับการมาสัมผัสค่ำคืนแห่งการดื่มด่ำสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Hospitality Night เราได้รับการบอกเล่าจากทางโรงแรมว่า Hospitality Night เป็น A new monthly Event! ของ Oriental Bar และคงจะเรียกว่าค่ำคืนสุดเอ็กซ์คลูซีฟไม่ได้ ถ้างานถูกจัดในแบบเดิมๆทุกครั้ง
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ทางโรงแรมจัดขึ้น คอนเซปต์ของงานถึงแม้ชื่อจะเหมือนครั้งแรกที่จัด แต่รายละเอียดของเครื่องดื่มจะแตกต่างกันไปและแม้กระทั่งแขกที่มาร่วมงาน ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของคอนเซ็ปต์ของผู้เข้าร่วม ซึ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับและรอคอยสำหรับค่ำคืนนี้เป็นพิเศษเพราะ คืนนี้ทางโรงแรมได้หยิบยกเอาผู้เชี่ยวชาญในวงการ Digital Marketing and Social Media มาเป็นแขกของค่ำคืน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และสิ่งที่ทางโรงแรมได้จัดขึ้นคือการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ทำงานทางด้าน Digital Marketing and Social Media Professtional เข้าร่วมงานฟรี พร้อมจิบเครื่องดื่ม TWG tea-infused cocktails
Gin & Sax ครั้งแรกเสิร์ฟเครื่องดื่มเป็น Hendrick’s Gin อินฟิวส์กับสมุนไพรจากสวนของทาง Oriental Residence Bangkok ที่ปลูกขึ้นเอง ส่วนครั้งที่สองเป็น Gin & Blues ซึ่งได้หยิบยกเอาสายงาน Catering and Banquet มาเป็นแขกที่ได้รับสิทธิ์พิเศษในการเข้าร่วมงานฟรี
บรรยากาศของงานดูใกล้ชิดและเป็นกันเอง เสียงของเพลงแจ็สที่ถูกขับร้องจากนักร้องสาวผสมผสานกับเสียงบรรเลงกีตาร์และแซกโซโฟนจากนักดนดรีหนุ่ม อยู่ในระดับที่คลอเคลียหูเราเบาๆ ทำให้การพูดคุยกันระหว่างภายในโต๊ะหรือกระทั่งการทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆที่เรามีโอกาสได้ทักทายเป็นไปอย่างไหลลื่น ส่วนหนึ่งก็คงได้ดริงก์ TWG tea-infused cocktails ที่เราชิมไปหลายแก้วพอสมควร ที่ทำให้เราพริ้วไหวมากเป็นพิเศษ
ส่วนใครที่อยากมาร่วมงาน สามารถติดตามได้จากทางโซเชียลมีเดียของทางโรงแรม Oriental Residence Bangkok และมารอลุ้นกันอย่างตื่นเต้นว่าครั้งหน้าจะมาในคอนเซปต์ไหนกันและจะตรงกับสายงานอาชีพของเรารึปล่าวเพราะนั่นหมายถึงว่า นอกจากเราจะเข้าร่วมงานฟรีแล้ว เรายังจะมีโอกาสได้สานสัมพันธ์ทำความรู้จัก และแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้คนที่ทำงานในสายงานที่ถูกหยิบยกขึ้นมา แต่ถ้าใครอยากแลกเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ มันก็ดีเช่นกันนะ…เราคิดอย่างนั้น ยังงัยก็มาได้ทุกครั้ง เท่าที่เราเห็นก็แทบจะครึ่งต่อครึ่งเหมือนกันสำหรับแขกที่มาร่วมงาน และเป็นแขกที่ตั้งใจมาถึงแม้จะไม่ได้ทำงานในสายงานที่ถูกหยิบยกมาเป็นกิมมิกเล็กๆ
ในด้านของค่าใช้จ่ายสำหรับแขกทั่วไปจะอยู่ที่ 750 บาทต่อคน โดยที่สามารถจิบเครื่องดื่ม Free flow ได้ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่มตามเวลาของงาน และในขณะเดียวกัน ค่ำคืนนี้มันต้องมีเมนูสำหรับทานเล่นวางอยู่บนโต๊ะด้วยถึงจะเรียกว่า เป็นค่ำคืนสุดพิเศษอันแสนกลมกล่อม ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เมนูทานเล่นของที่นี่ทำเสิร์ฟใหม่ร้อนๆตามออเดอร์ สนนราคาสะดวกคิดคำนวณที่ 200 บาทต่อจาน คุณภาพของวัตถุดิบ ขนาดของพอชั่นที่เสิร์ฟถือว่าเหมาะสม
แล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้ หยิบเอาเมนูพิเศษของค่ำคืนนี้ นั่นคือ TWG tea-infused cocktails เครื่องดื่มค๊อกเทลสูตรอินฟิวส์กับชา TWG แบรนด์ชาหรูจากประเทศสิงคโปร์ คุณภาพพรีเมี่ยม
STRAWBERRY MOONLIGHT
(London Dry Gin infused with TWG Silver Moon Tea, Lychee, Lemon juice, topped with Perrier Strawberry)
เป็นการผสมผสานระหว่างยินอังกฤษเข้ากับชาซิลเวอร์ มูน ที ที่เป็นชาเขียวเบลนด์กับสตรอเบอร์รี่และช่อวานิลลา ดังนั้นแก้วนี้จะอบอวนด้วยความหอมหวานราวกับดอกลิลลี่เพิ่งผลิช่อ จะหยิบยกประโยคที่บอกว่า “น้อยแต่มาก เรียบแต่หรู” มาใช้กับเมนูดริ๊งก์แก้วนี้ก็ดูเข้าท่า ด้วยพรีเซนเทชั่นของดริ๊งก์ที่ทำออกมาให้ขาวใส ขับลูกสตอเบอรี่ที่ท็อปไว้ด้านบนสุดเคียงคู่กับยอดโรสแมรี่ ให้ฟิลลิ่งถึงช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็น จนเกิดน้ำแข็งเกาะที่ปลายยอดโรสแมรี่ ในดริ๊งซ์แก้วนี้ยังผสมน้ำลิ้นจี่และซ่อนความเปรี้ยวจากเลมอนลงไปด้วย อย่างนี้สิถึงเรียกว่าหวานซ่อนเปรี้ยวของจริง ท็อปด้วยความซ่าตามธรรมชาติของน้ำแร่ฝรั่งเศสเปอริเอ้ (Perrier) กลิ่นสตอเบอรี่ วินาทีแรกที่ผมเห็น Strawberry Moonlight ภาพของ Marilyn Monroe ในชุดเดรสกระโปรงสีขาวที่ปลิวตามแรงลมพัดกับริมฝีปากสีแดงสด ก็ผุดขึ้นมาในหัว ถึงดริ๊งซ์แก้วนี้จะออกแนวสดชื่นซาบซ่าส์เหมาะกับการจิบริมระเบียงในวันที่อากาศร้อน แต่บรรยากาศของการสนทนาในค่ำคืนนี้ก็สร้างความร้อนรุ่มเข้ากับดริงก์แก้วนี้ได้ไม่แพ้กัน
EARLY GREY MARTEANI
(London Dry Gin infused with TWG French Earl Grey Tea, Lemon juice, Egg white and a dash of Angostura)
ขึ้นต้นมาด้วยเอิร์ล เกรย์ ก็รับรู้ว่าแก้วนี้น่าจะมาแนวข้มข้นแต่มาในลุคของการเสิร์ฟเป็น Martini ทำให้ดริงก์แก้วนี้ดูสง่าผ่าเผยด้วยลุคที่สูงโปร่งน่าหลงไหล ชาตระกูลเกรย์ทั้งหลาย จะเป็นชาที่เบลนด์ด้วยกลิ่นมะกรูด สำหรับเฟรนช์ เออเกรย์ ก็จะเป็นการเบลนด์กลีบกุหลาบเข้าไปด้วย รสชาติของ Early Grey Marteani แก้วนี้ จะออกไปทางหวานขม และอมเปรี้ยวจากส่วนผสมเลมอนและยังหยดแองโกสตูรา บิตเตอร์ เพื่อเพิ่มรสชาติความขมนุ่มและกลิ่นเครื่องเทศคล้ายกลิ่นไม้กฤษณา เพิ่มฟองด้วยการเติมไข่ขาวและเขย่าให้ขึ้นฟอง ตกแต่งท๊อปด้านบนด้วยกลีบกุหลาบสีชมพูปิดงาน
1837 BLACKBERRY
(London Dry Gin with infused TWG 1837 Black Tea, Lemon juice, Crème de Mure)
เป็นการอินฟิวส์ยินจากอังกฤษเข้ากับชาดำ 1837 แบล็กเบอร์รี อันขึ้นชื่อของ TWG รสชาติของเมนูนี้ออกไปทางหวานอมเปรี้ยวเช่นเดียวกันกับแก้วก่อนหน้านี้ แต่จะมีความฝาดของชาดำผสมอยู่และยังความเปรี้ยวแซมของเลมอน การผสม กรีม เดอ มัวร์ (Crème de Mure) และชาดำในเมนูยิ่งเป็นการย้ำความชัดเจนของชาที่อินฟิวส์ลงไป พรีเซนเทชั่นที่เก๋ไก๋คือการติดช่อบูเก้ (Bouquet) ไว้ที่แก้ว ทำให้คนที่ถือแก้วค็อกเทลแก้วนี้ดูมีรสนิยมที่น่าค้นหา และมีเทสการเลือกดื่มที่น่าสนใจ หากแต่งตัวมาในชุดธีมแกสบี้คงสร้างความลุ่มหลงให้กับผู้คนรอบข้างน่าดู
ORIENTAL VANILLA
(London Dry Gin infused with TWG Vanilla Bourbon Tea, Lemon juice, Orange juice, Pomegranate)
พรีเซนเทชั่นแก้วนี้ไม่ได้มีความโดดเด่นเท่าไหร่นัก ในส่วนของดริงก์เป็นการอินฟิวส์ยินอังกฤษเข้ากับชาวานิลลาเบอร์เบิน และผสมเลมอน น้ำส้มและน้ำทับทิม กลายออกมาเป็นดริงก์ที่หอมฝักวานิลลา ผสมกับกลิ่นของเบอร์เบินที่มีกลิ่นของถ่านไม้โอ๊คที่เจือคาราเมลอยู่เล็กน้อย รสชาติเด่นไปทางเปรี้ยวหวาน ระดับความเข้มจัดอยู่ในกลุ่มของมีเดียม แต่เห็นอย่างนี้เผลอยกจิบอย่างต่อเนื่อง รู้ตัวอีกทีก็หมดแล้วซะแล้ว
THE KING OF INDIA
(London Dry Gin infused with TWG Royal Darjeeling Tea, Lemon juice, Cinnamon, topped with Perrier)
เป็นเมนูดริงก์ที่มีพรีเซนเทชั่นที่น่าดึงดูดใจจากแท่งอบเชยหรือซินนาม่อน (Cinnamon) สีน้ำตาลแดง เสิร์ฟมาในแก้วไวน์แดง ถ้าให้ผมคาดเดาเมนูนี้คงตั้งใจให้ผู้ดื่มจะได้รับรู้กลิ่นหอม อันอบอวลของเครื่องดื่มอย่างชัดเจนจึงเลือกใช้แก้วทรงนี้ จะสังเกตว่าการเทเครื่องดึ่มลงบนแก้วทรงนี้จึงจะเทไม่เกินครึ่งแก้ว ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เราได้สัมผัสด้านกลิ่นของเครื่องดื่มนั่นเอง The King of India ก็บ่งบอกถึงแนวทางของดริงก์ได้ประมาณหนึ่ง หลังจากที่ผมได้หยิบยกแก้วขึ้นมาวนๆสูดกลิ่นเบาๆ ก็ไม่ได้มีความชัดเจนของกลิ่นอะไรที่มากไปกว่ากลิ่นซินนาม่อน ความพิเศษของเมนูนี้คงอยู่ที่การอินฟิวส์ยินอังกฤษ เข้ากับ ชา รอยัล ดาร์จีลิ่ง (TWG Royal Darjeeling Tea) ชาที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งชาอินเดีย” ซึ่งจะมีรสชาติที่ขมแต่กลมกล่อม และยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “แชมเปญแห่งชา” อีกด้วย การอินฟิวส์ระหว่างยินอังกฤษและ ชา รอยัล ดาร์จีลิ่ง ดูจะตั้งใจสะท้อนให้แก้วนี้ออกมาในโทนของสีเหลืองอำพันที่เรืองรอง และยังมีส่วนผสมของเลมอนและน้ำแร่ฝรั่งเศสเปอริเอ้ (Perrier) ออกมาเป็นเมนูดริงก์ที่ขมเข้มแต่กลมกล่อมแฝงรสเปรี้ยวบางของเลมอนได้สัมผัสฟองซ่าส์จากเปอริเอ้ เป็นดริงก์ที่จบเพียงหนึ่งแก้วด้วยความเข้มอยู่ได้ตลอดทั้งคืน ถึงแม้จะติดใจเท่าไหร่ หากทานมากจะเดินกลับบ้านเองไม่ไหวแน่ๆ
Crispy marinated chicken wings with sweet and sour sauce
ปีกไก่ทอด จิ้มกับซอส ปีกไก่ที่ผ่านการหมักเครื่องเทศและสมุนไพรให้รสชาติแทรกซึมเข้าไปในชิ้นส่วนของปีก ผ่านขั้นตอนการทอดที่ด้านนอกแห้งกรุบกรอบแต่ด้านในยังคงความนุ่ม ทำให้เมนูนี้เป็นเมนูทานเพลินเล่นที่ได้รับความนิยมและหมดเร็วที่สุดเป็นจานแรก
Garlic pepper Calamari
คาลามารี เมนูปลาหมึกชุบแป้งทอดสไตล์อิตาเลี่ยน เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดของเราที่เราสั่งมาทานเองอยู่บ่อยครั้ง เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสที่มีส่วนผสมของมายองเนสและพาสลีย์อันเป็นวัตถุดิบหลักที่เราสัมผัสรสชาติและกลิ่นได้เด่นชัดมากที่สุด เราชอบสไตล์การทอดที่มีลักษณะกรอบนอกและคงความนุ่มของปลาหมึกให้ทานพอหนึบจากหมึกหอมที่สด ทางโรงแรมน่าจะตั้งใจคัดไซส์ใหญ่ปรุง ทำให้เราได้สัมผัสกับเนื้อปลาหมึกที่เนื้อแน่นหนึบ
French fries with 3 dips (wasabi mayo, garlic aïoli, tomato sauce)
เฟรนช์ฟรายส์ขนาดใหญ่ทอดมาเสิร์ฟพร้อมซอสสามแบบ ได้แก่ ซอสมาโยผสมวาซาบิ, ซอสกระเทียม aioli และ ซอสมะเขือเทศ หอมมาตั้งแต่ยกจานเสิร์ฟมาใกล้หรือกระทั่งยกผ่านโต๊ะเราไป เราก็หันไปมองตามทีเดียวเชียวล่ะ อนุภาพของความน่ากินของเฟรนช์ฟรายส์ขนาดใหญ่จานนี้ ทำให้เราอดใจไม่ได้ที่จะต้องสั่งโดยเร็วและ เราก็สั่งต่อทันที ที่ใกล้หมดราวกับว่ากำลังเสฟติด เฟรนช์ฟรายส์ทอดอยู่ นี่แค่เรากลับมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน เราก็รู้สึกอยากกินเฟรนช์ฟรายส์เมนูนี้ขึ้นมาเลยล่ะ
เรามาถึงตอนท้ายแล้ว เราฝากไว้เป็นอีกหนึ่งอีเวนท์ประจำเดือนที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากพบปะกับบรรยากาศและไลฟ์สไตล์เรียบหรู ยังงัยลองหาโอกาสมาลองกันดูสักครั้งกับ Hospitality Night Event ที่จัดขึ้นประจำทุกเดือนที่ Oriental Bar, Oriental Residence Bangkok และติดตามข่าวจากทางโชเชียลมีเดียของทางโรงแรมไว้ จะได้ไม่พลาดงานครั้งหน้านะ
Cheerio!
SOtraveler is Happy