ฉบับนี้ชวนมาอ่านบทความ
รีวิว โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ (Review Hilton Sukhumvit Bangkok ) กันนะครับ หากพูดถึงการพักผ่อน ที่แสนจะสบายในกรุงเทพฯ ของเรานั้น ย่อมต้องคิดถึง โรงแรมที่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและช้อปปิ้งทั้งกลางวันและกลางคืน ที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่ง ที่ตอบโจทย์เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเดินเข้าสู่โรงแรม ก็จะเจอกับการต้อนรับด้วยรูปปั้นที่เด่นเป็นสง่า มองเห็นได้อย่างชัดเจน จนแอบสงสัยว่าคืออะไร ซึ่งความสงสัยก็ทำให้เราต้องค้นหาคำตอบ สุดท้ายก็ได้รู้ข้อมูลของตัวละคร อันมีที่มาที่ไป ของโรงแรมแห่งนี้ กลายเป็น Love Story ที่น่าติดตามมากทีเดียว โดยผ่านรูปปั้นแนวอาร์ตสีขาว ผู้ชายชื่อ
Jay ผู้หญิงชื่อ
Daisy และสุนัขตัวเล็ก ๆชื่อ
มะลิ
นี่เป็นการเริ่มต้นของตัวละครสมมุติ ภายในล็อบบี้ของโรงแรม เป็นการเปิดตัวให้กับแขกทุกท่านที่ได้มาเยือนโรงแรมแห่งนี้ โดยเราจะเห็นตัวละคร Jay กับ Daisy และมะลิ อยู่ตามมุมต่างๆ ของโรงแรม ด้วยท่าทีและอารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งทุกจุดมีเรื่องราวที่มาที่ไปทั้งหมด มองไปก็เสมือนกับเจ้าบ้านที่คอยต้อนรับแขกทุกคน ในทุกๆ มุมของโรงแรม
เปิดประตูเข้ามา ก็จะพบว่า Jay กำลังหันมอง Daisy อยู่ เมื่อมามองเดซี่ใกล้ๆ จะเห็นว่า เดซี่เองก็ไม่ได้เดินอยู่คนเดียวตามลำพัง แต่ก็ยังมีน้อง “มะลิ” น้องหมาคู่ใจ คอยเดินไปด้วยกัน
บรรยากาศภายในล็อบบี้ จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างความเป็นไทยกับบรรยากาศแบบตะวันตก เพดานมีการแสดงความเป็นไทย ด้วยการพิมพ์ลายผ้าไหมลงไป ดูพริ้วไหวไปทั้งเพดาน
เมื่อเดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะพบ เจมส์และเดซี่ในอีกอิริยาบถ โดยทั้งคู่ได้นั่งจับมือกันขณะที่เดซี่กำลังอ่านหนังสือ ความโรแมนติคได้เกิดขึ้น
รายละเอียดของการผสมผสานขององค์ประกอบต่างๆ ภายในล็อบบี้แห่งนี้ เกิดความเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่น โต๊ะกลมแต่ละตัวที่อยู่บริเวณนี้ จะเป็นโต๊ะที่ทำมาจากวัสดุผิวมันเงาและถูกพิมพ์ชื่อจังหวัดกรุงเทพฯ แบบเต็มไว้ด้วย ณ องศาที่ผมยืนมอง เกิดภาพสะท้อนเพดานลายไทยลงมา ทำให้โต๊ะดูสะดุดตาขึ้นทันที
ในเรื่องของการสร้างสรรค์ นอกจากการตกแต่งล็อบบี้แล้ว บันไดวน ก็เป็นอีกจุด ที่ดึงดูดสายตาได้ดีจริงๆ บันไดนี้สามารถเดินขึ้นลง เพื่อขึ้นไปยังห้องอาหาร ห้องประชุม ห้องสัมมนา และที่สำคัญสามารถมายัง Scalini ซึ่งเป็นห้องอาหารอิตาเลี่ยน ที่แปลว่า บันไดวน ได้ด้วยเช่นกัน
ณ ชั้นเดียวกันกับล็อบบี้ เมื่อมองตรงเข้ามาด้านในสุดของโรงแรมจะพบกับ
มอนโด (Mondo) ซึ่งเป็นจุดที่หนุ่ม Jay ได้ขอสาว Daisy แต่งงาน เราจึงจะได้เห็นเพชรเม็ดโตสีดำ อันเป็นอนุสรณ์ความรักของทั้งคู่ที่ ห้องอาหารมอนโด (Mondo) และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินเรื่องราวความรักของทั้งคู่ที่โรงแรมแห่งนี้
อ่านรีวิวเต็มของ ห้องอาหาร Mondo Restaurant and Bar >>>
Start Enjoying
หลังจากเช็คอินเสร็จ ก็ตามเข้ามาในห้องกันเลยครับ เข้ามานั่งพักผ่อนกันก่อน
เตียงนอนนอนหลับสบาย การันตีด้วยมาตรฐานโรงแรมในเครือฮิวตัน วางใจในความนุ่มและนอนหลับสบายของเครือฮิวตันมาก
ภายในห้องพัก มีโต๊ะรีดผ้าพร้อมเตารีด และจัดไม้แขวนเสื้อไว้ให้เยอะมาก
ผลิตภัณพ์ที่ใช้ในห้องน้ำของโรงแรมแบรนด์ฮิลตัน ยังคงเป็น Peter Thomas Roth ซึ่งกลิ่นของยี่ห้อนี้ หอมแบบรีแล็กซ์มาก
อ่างอาบน้ำมีความเซ็กซี่ ด้วยกระจกใสกับเตียงนอน แช่ตัวไปดูทีวีไป ผมชอบเลย์เอาท์การจัดวางห้องน้ำ ของที่นี่ กว้างดี และแยกโซนอาบ โซนแต่งตัว และห้องน้ำ ออกจากกันชัดเจน Rain Shower ก็ใหญ่แรงสะใจ เสร็จจากการแช่อ่างตัวเปียก ๆ ก็ล้างตัวจาก Rain Shower ได้สะดวกเลย ไม่ต้องระวังกังวลเรื่องพื้นเปียกมาก บริเวณนี้สามารถเปียกได้เต็มที่ และหากไม่สะดวกที่จะเปิดห้องอาบน้ำโล่งแบบนี้ ก็กดม่านลงมาปิดได้ครับ : )
Complimentary มาการองมาวางให้บนเตียงในตอนเย็น ผมลงไปทานข้าวพนักงานก็มาบริการ Turndown Service ให้
Modern Italian cuisine
สกาลินี (Scalini) ห้องอาหารสไตล์อิตาเลียน-อเมริกัน ตกแต่งโดยจำลองเอากลิ่นอายของบรรยากาศในช่วง ค.ศ. 1920 ยุค Prohibition ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศอิตาลี สั่งห้ามผลิต และซื้อขาย แอลกอฮอล์ ทำให้ดีไซน์โดยรวมจะออกมาโทนสีดำเข้ม จำลองเหมือนว่ากำลังอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่ชาวอิตาเลี่ยนกำลังลี้ภัยมายังเมืองนิวยอร์ค แม้แต่เพลงที่เปิดออกมาจากลำโพงของ
Scalini ก็ยังสัมผัสได้เลยครับว่า ถูกคิดและดีไซน์มาแล้วเช่นกัน เพราะแนวเพลงจะเก่า ๆและมีเสียงอู้ ๆ ซ่าๆ จากลำโพงนิด ๆ เหมือนกำลังอยู่ชั้นใต้ดินแบบหลบซ่อนตัวอยู่ โดยรวมของบรรยากาศ เหมาะกับการจัดงานสังสรรค์ “ธีมแกสบี้” มาก บริเวณผนังยังทำเป็นไวน์เซลล่าร์ สร้างบรรยากาศของความหรูหรา และอรรถรสของการทานอาหารชั้นเลิศ
ผมทาน Breakfast และ Dinner ที่ Scalini ทั้งสองมื้อเลยผมเลย Review Hilton Sukhumvit ฉบับนี้จึงจะมีครบทั้งสองมื้อ ได้เวลาแล้ว เรามาเริ่มทานอาหารมื้อค่ำ ไปพร้อม ๆ กันดีกว่าครับ
Simply Luxurious Dining
ดินเนอร์ของห้องอาหาร
สกาลินี(Scalini) รสชาติของอาหารจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นอิตาเลี่ยนดั้งเดิม กับ ความเป็นนานาชาติ สำหรับรีวิวนี้ผมขอแนะนำเมนูไฮไลท์ ตามที่ห้องอาหารให้จัดมาให้ลองในระหว่างที่เลือกเมนูอาหาร ก็นั่งคุยกันเพลิน ๆ พร้อมกับทาน ขนมปัง complementary ที่เสิร์ฟมาบนถาดไม้ คู่กับซาวซ่ามะเขือเทศ ซอสมะกอกดำ และ กระเทียม
Appetizer Heirloon tamatoes (Burrata cheese, roasted pecans, extra virgin olive oil & balsamic ) สลัดมะเขือเทศพื้นเมืองของอิตาลี เสิร์ฟมาพร้อมกับ Burrata cheese (ชีบูราต้า) ซึ่งมีความเค็มอยู่นิด ๆ ถั่วพีแคนคั่ว และคลุกเคล้ากับน้ำมันมะกอกและบัลซามิค
Soup Seafood Soup (Tuscan traditional seafood, rosemary, olive oil) รสชาติเผ็ดร้อนพอกลมกล่อมและซดโล่งคอ
Pasta & Risotto Lobster and crab chitarra pasta (Handcrafted chitarra pasta, Boston lobster, blue crab, tomato sauce ) พาสตาล็อบสเตอร์ภูเก็ตเนื้อกรอบเด้ง โดยเส้นพาสต้าทางโรงแรมทำขึ้นเองสดใหม่ จากเครื่องทำที่มีลักษณะเหมือนกีตาร์ เลยเรียกว่า Chitarra Pasta
Main Course Sea Scallop (Slow poached Hokkaido scallops, avocado guacamole, organic tomatoes, cherry vinaigrette, fresh basil ) เมนูนี้ จะมีกลิ่นของเฮิร์ปแทรกอยู่ในเนื้อหอยเชลล์ (Scallop) เสิร์ฟพร้อมหัวไชเท้าแดงกับ Heirloom Tomato มะเขือเทศพันธ์พื้นบ้านของอิตาลี
ขวดพริกไทย ที่สกาลินี่ น่าจะเป็น Pepper shaker ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้เลยกระมัง
Spaghetti Seafood เป็นอีกไฮไลท์ที่น่าลอง สปาเกตตี้เสิร์ฟมาในหม้อแล้วคลุมด้วยพิซซ่าโด หอมกรุ่นตั้งแต่ยกมาเสิร์ฟ ยิ่งค่อยๆ เปิดออก ก็ยิ่งหอม
Snow fish, black mussel sauce (Baked snow fish fillet, white asparagus, sicilian couscous, black mussel sauce ) เมนูสุขภาพดีกับเนื้อปลาหิมะ
Premium Steaks US New York Strip Loin
Australian lamb rack
Signature Dessert
Traditional tiramisu ปิดท้ายด้วยขนมหวาน Signature ของห้องอาหาร Scalini :
ทิรามิสุ (Tiramisu)
หลังจากจบมื้อดินเนอร์ ก็ต้องบอกเลยว่า อิ่มมาก ขอขึ้นไปเดินเล่นที่สระว่ายน้ำสักหน่อยครับ สระว่ายน้ำของฮิลตัน สุขุมวิท จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสระว่ายน้ำที่สามารถมองเห็น วิวกรุงเทพฯ ได้สวยงามในลำดับต้น ๆ เลย นอนบนเตียงริมสระ ลมโกรก ๆ เกือบเคลิ้มหลับ ต้องกลับห้องแล้วล่ะครับ
กลับมาถึงห้อง อาบน้ำนอนพักผ่อนก่อนครับ เตียงนอนนุ่ม ๆ กวักมือเรียกให้ทุ่มตัวลงนอนในอ้อมกอดมาตั้งแต่ตอนเช็คอิน
Morning Breakfast
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า นอนหลับสบายทั้งคืน อาบน้ำเสร็จ ก็เตรียมตัวมาทานอาหารเช้าต่อเลยครับ มื้อเมื่อคืนยังแน่นๆ ท้องอยู่เลย กลับมาที่ สกาลินี อีกครั้ง ต้องบอกว่าทั้งชั้น ถูกจัดให้อยู่ในธีมเดียวกัน ผนังโกดังสีดำ ไฟรูปทรงเก่า ๆ
รูปแบบของครัวเปิด เป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของ สกาลินี (Scalini) ที่จะทำให้เราเห็นเชฟกำลังปรุงอาหารกันอย่างขยันขันแข็ง
อาหารเช้าปริมาณกลาง ๆ ไลน์อาหารไม่ได้แบ่งยิบย่อยมาก แต่มีครบ หากใครเคยอ่าน
รีวิว DoubleTree by Hilton ก็จะพบว่าไลน์อาหารเช้า คล้าย ๆ กันเลย
Special of the Month เป็นการนำมังคุดมา เสิร์ฟเป็น เค้ก น้ำมังคุดและเป็นผลไม้ให้ทาน เลยจัดไว้ให้เด่น
ชา กาแฟ
น้ำผลไม้ และโยเกิร์ตจัดอยู่ในตู้เย็น ฉ่ำชื่นใจดี
ไลน์สลัด
ขนมปังและเบเกอรี่แบบต่าง ๆ
ไลน์อาหารญีปุ่น เกาหลี ข้าวปั้น กิมจิ
ก๋วยเตี๋ยวก็มีครับ สำหรับใครที่อยากซดเมนูร้อน ๆ ในตอนเช้า
อาหารจานร้อนตรงนี้ จะใส่ในหม้อเหล็กสีแดง ซึ่งฝาหนักเอาการเลยล่ะครับ ข้างในก็จะเป็นพวกไส้กรอก เบคอน แต่ได้ความอุ่นดีนะ
ข้าวต้มและเครื่องเคียง
ไข่สารพัดรูปแบบสั่งได้ที่นี่
ไลน์อาหารไทย
ผลไม้
น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋
ขนมปัง
ทานอาหารเช้าอิ่มแล้วก็ถือโอกาสเดินย่อยสักหน่อยครับ ก่อนที่จะขึ้นไปนอนต่อ ผมกลับไปเดินเล่นที่สระว่ายน้ำ ชอบครับ เพราะวิวสูงลมพัดเย็นดี ที่ชั้นเดียวกันก็มีฟิตเนส ที่มีเทรนเนอร์คอยดูแลอยู่ด้วย
ขอทิ้งท้ายด้วยอิริยาบท ที่ทุกคนที่ลงสระที่นี่ ต้องทำโดยไม่มีการเขียนอะไรบอกไว้ เพราะมันคือการเกาะขอบสระ มองวิวของกรุงเทพฯ ที่อยู่เบื้องหน้า
หวังว่าทุกคนจะเต็มอิ่มกับ Review Hilton Sukhumvit บทความนี้ ตัวโรงแรมตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ ชนิดที่ว่า อยู่บนสถานีก็มองเห็นตัวโรงแรม ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ ระยะทางจากปากซอยถึงตัวโรงแรม ก็เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น นอกจากนั้นทำเลแถวนี้ยังมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น เอ็มโพเรียม (EmPorium) และ เอ็มควอเทียร์ (EmQuartier) หรือจะไปหาร้านนั่งชิมกาแฟและเค้กชิลๆ แถวทองหล่อ ก็ไม่ไกลจากที่นี่เช่นกันและล่าสุด ที่นี่เพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภูมิภาค
“Luxury Hotel Brand” จาก World Luxury Hotel Awards ประจําปี 2559 มาสด ๆร้อนๆ
36,900 views
เลอเลิศค่ะ
หรูหราสมชื่อฮิลตันมากๆเลยค่ะ