หากได้ไปเยือนที่ประเทศอังกฤษ หนึ่งในวัฒนธรรมที่เรามักจะเห็นกันได้ตลอดจากชาวอังกฤษนั้น ก็คือ วัฒนธรรม Afternoon Tea หรือการจิบชายามบ่าย พร้อมๆกับของว่างอย่างเช่น สโคน ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันประจำวันที่เราเห็นกันได้อย่างทั่วไป แต่ถ้าใครอยากจะลิ้มลองสไตล์การจิบชาแบบชาวอังกฤษแบบต้นตำหรับ SOtraveler.com ขอแนะนำ Jay’s and daisy Afternoon Tea ที่ห้องอาหารมอนโด ชั้นล๊อปบี้โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิทกรุงเทพฯ ซอย สุขุมวิท 22 ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัส สไตล์การจิบชายามบ่ายแบบชาวอังกฤษ โดยที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงประเทศต้นตำหรับ
ห้องอาหาร Mondo ตั้งอยู่ ชั้น ล๊อปบี้ ของโรงแรม ฮิลตัน สุขุมวิท ซึ่งตำแหน่งของร้าน จะอยู่ด้านในสุดของล็อบบี้ที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ด้วยตัวบรรยากาศของร้านที่โปร่งแสง และ การตกแต่งของสถานที่ ที่ดูมีความผสมผสานกันทั้งความโมเดิร์น และ ความวินเทจ จึงทำให้เราสามารถสังเกตเห็นตัวร้านได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเดินทางมาถึงร้าน จะสัมผัสได้ถึง บรรยากาศครัวแบบเปิด ให้ทุกคนสามารถรับชมกระบวนการต่างๆในครัวได้ อีกทั้งยังมีตู้แช่เค้ก และ ของหวานต่างๆ ให้ทุกคนได้เลือกสรร ณ บริเวณหน้าร้านอีกด้วย
ห้องอาหารมอนโด มีการตกแต่งให้สอดคล้องกับ Jay’s and daisy Story ที่เป็นการเล่าถึงการโคจรมาพบกัน ความเป็นมา มีการให้อะไรเป็นที่ระลึกแก่กันและกัน ฯลฯ ซึ่งตัวของขนมที่อยู่ใน Afternoon Tea ถูกตกแต่งตามของที่ระลึกที่มีการกล่าวถึงในเนื้อเรื่องที่ถูก represent ออกมา เช่น ขนมที่ถูกตกแต่งออกมาเป็นกระเป๋าสะพายของ Daisy
สำหรับการตกแต่ง ตกแต่งออกมาได้หรูหรา โทนสีของร้านที่จะออกไปในทางโทนสีสว่างอย่างสีขาว และตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์สีโทนเข้มดุดัน อย่าง โต๊ะลายหินอ่อนสีขาวที่ตัดด้วยสีเทา หรือ โซฟาสีดำ
หลังจากสั่งอาหารพร้อมกับเครื่องดื่มต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางร้านจะมีบริการเสิร์ฟน้ำมะพร้าวที่มีความหอมหวานเพื่อให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกันไปก่อน
จากนั้นก็เป็นส่วนของ “ชา” ที่มีให้ทุกคนได้เลือกลิ้มลองรสชาติหลากหลายชนิด อย่างเช่น Original Earl Grey ที่มีกลิ่นหอมของตัวชาออกมาอย่างเด่นชัด รวมถึงรสชาติที่ให้ความรู้สึกเบา แต่เข้มข้นไปภายในตัว จนทำให้รู้สึกได้ถึงความสดชื่นจากกลิ่นของใบชา หรือ Pure Chamomile ที่มีความกลมกล่อมหอมหวานแบบดอกไม้ซึ่งทานแล้วจะรู้สึกเย็นๆในอก สดชื่นและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เราแนะนำให้ทุกคนดื่มขณะที่ชากำลังร้อนๆ เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด ซึ่งนอกเหนือจากตัวของชาแล้ว ยังมีเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ให้เลือกอีกเช่นกาแฟหลากหลายชนิด หรือ ช็อคโกแลตร้อน/เย็น
Jay’s and daisy Afternoon Tea มีทั้งอาหารทานเล่น และ ของหวาน ที่จัดใส่กล่องมาอย่างสวยงาม และ ยังมีการตกแต่งเมนูต่างๆ ให้สอดคล้องกับเรื่องราวของทางร้าน ซึ่งถือว่าดูดีเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้จะถูกเสิร์ฟมาพร้อม กระดาษ 1 แผ่นที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
เมนูแรกมีชื่อว่า Jay’s childhood recipe เมนูวัยเด็กของเจย์ ตัวอาหารนั่นคือ คร็อกเก้ (Croquette) ที่ถูกนำไปทอดให้กรอบกำลังพอดี สอดไส้ด้วยวัตถุดิบต่างๆที่คอยช่วยกันชูรสชาติออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทั้ง ผักขม แฮม ซึ่งเมื่อทั้งสองถูกผสมเข้ากับวัตถุดิบอื่นๆอีกนั้น จึงทำให้รสชาติออกมาหวานและเข้ากันได้ดี ตัดด้วยรสหวานขมจากตัวของผักขมเล็กน้อย นอกจากนั้นด้านบนยังตกแต่งด้วย Parmisan Cheese อีกด้วย โดยรวมแล้วเป็นอาหารว่างที่รสชาติอร่อยเหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างระหว่างวันที่เริ่มต้นได้ดีทีเดียว
เมนูที่สอง King crab, Avocado Parfeit, Cocktail sauce on Crispy Brioche Bread ขนมปังหน้ากุ้ง, ปู และ อโวคาโด้ โดยรวมแล้วเป็นขนมปังที่สามารถทานได้หมดภายในคำเดียว โดยที่ขนมปังกรอบและตัว King Crab ผสมเข้ากันได้ยังลงตัว โดยมีการเสริมรสชาติจากผักชนิดต่างๆ ที่ผสมผสานให้ตัวขนมปัง King Crab สามารถเค้นรสชาติออกมาได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมีความกรุบจากไข่กุ้ง ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความกรุบกรอบให้กับตัวขนมปังแล้ว ยังเสริมรสชาติของตัวปูให้มีความหวานกลมกล่อมมากขึ้นไปอีกด้วย
Daisy’s a few books นำเสนอออกมาในรูปแบบของหนังสือสามเล่มของ Daisy ซึ่งจริงๆแล้วมันคือ Club Sandwishes โดยรวมแล้วตัวแซนวิชมีมาให้ลิ้มลองทั้งหมด 3 ไส้คือ แซลมอนรมควัน ไข่มายองเนส และ ไส้ใข่ปลาคาเวียร์และเนื้อกุ้งในมายองเนส
ขนมปังไส้เนื้อกุ้งมายองเนส และ ไข่ปลาคาร์เวีย เป็นอีกหนึ่งเมนูที่รสชาติของตัวไส้นั้นอยู่ในเกณฑ์ที่กำลังพอดี ตัวไส้ให้รสชาติหวานมัน ตัดด้วยรสชาติเปรี้ยว ที่ทั้ง 2 รสชาตินั้น ต่างเข้ากันได้อย่างพอดี อีกทั้งยังมีความกรุบกรอบ จากกุ้งสับและคาเวียร์ที่ให้รสสัมผัสเข้ากันได้ดีกับตัวขนมปัง แซนวิชมีไส้เย็นทำให้เนื้อกุ้งนั้นรู้สึกสดขึ้น
อีกหนึ่งเมนู ขนมปังไส้แซลมอนรมควัน ที่ตัวไส้แซลมอนมีความหอมจากกลิ่นของตัวแซลมอนรมควันเอามากๆ รสสัมผัสระหว่างขนมปังกับ ตัวแซลมอน ก็เข้ากันได้ดีทีเดียวทั้งหมดสามชิ้น ชิ้นนี้ถือว่าเป็นชิ้นที่มีรสชาติเค็มที่สุดในทั้งหมด
ส่วนชิ้นสุดท้ายนั้นเป็นชิ้นที่โดดเด่นที่สุดกับไส้ไข่มายองเนส ซึ่งตัวขนมปังเป็นขนมปัง ชาร์โคลสีดำซึ่งสีตัดกับไส้ไข่สีเหลืองช่วยให้โดดเด่นน่ากินขึ้นมาก ไส้ไข่นั้นไม่ใส่มายองเนสมามากเกินไปทำให้ไม่กลบรสชาติไข่เลย
ก่อนจะไปถึงของหวาน เราพูดถึงของว่างที่เป็นปัจจัยของ Afternoon Tea กันดีกว่า ซึ่งก็คือ NYC Handmade Scone ซึ่งเป็นของหวานยอดนิยมของชาวอังกฤษในเมนู Afternoon Tea ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน โดยหลักการแล้วควรทานสโคนก่อนของหวานอื่นๆ เพราะ สโคนจะอร่อยที่สุดเมื่อทานตอนที่ยังร้อนอยู่ โดยทั้งหมดประกอบไปด้วย Ham and Gruyere Scone, Almond Cherry Scone และ Chocolate Oatmeal Scone เสิร์ฟมาพร้อมกับ Clotted cream และ แยมผลไม้
ชิ้นแรกนั้นเป็น เป็นสโคนที่ทำประกอบไปด้วย แฮม และ กรูแยร์ชีส (Ham and Gruyere Scone) ซึ่งมีรสชาติหวานและเค็มเล็กน้อย ด้วยธรรมชาติของมันซึ่งคาวนิดๆและนำให้ทานกับ Clotted cream จะดีที่สุด
ชิ้นต่อมานั่นประกอบไปด้วยเชอรี่ แอลม่อน (Almond Cherry Scone) ซึ่งดึงความหอมหวานของเชอรี่และความ หอมของธัญพืชอย่าง แอลมอนช่วยชูโรงเนื้อสโคนได้เป็นอย่างดี ทานคู่กับแยมผลไม้ที่โปรดปรานได้เลย หรือทานพร้อมกันทั้งครีม และ แยม ก็ให้รสชาติในแบบที่แตกต่างกันออกไป
ชิ้นสุดท้ายนั้นเป็นสโคน ช็อกโกแลต และ ข้าวโอ๊ต (Chocolate Oatmeal scone) ซึ่งในบรรดาสโคนทั้งหมดนั้นสโคนชิ้นนี้มีเนื้อหยาบมากที่สุด สาเหตุนั้นน่าจะมาจากเนื้อสัมผัสข้าวโอ้ต ทางด้านรสชาตินั้นมีความเข้มข้นของช็อกโกแลต และ ความหอมของข้าวโอ้ตมาช่วยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้เนื้อสโคนอาจจะร่วนไปเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วโอเค
สำหรับของหวานเรามาเริ่มกันที่ Chocolate Gemstone ซึ่งเป็นของหวานที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดในชุด ตัวขนมเป็นตัวดาร์กช็อคโกแลตสอดไส้ ครีมช็อคโกแล็ตและไส้สตอเบอร์รี่ ที่จะให้รสชาติที่ ขม หวาน และ เปรี้ยว ไปพร้อมๆกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานทางรสชาติได้อย่างลงตัว ตัวช็อกโกแลตถูกแกะสลักมา เป็นรูปเพชรเม็ดใหญ่ เปิดฝาออกมาก็จะพบกับซอส สตรอว์เบอรี่ ด้านในให้ความรู้สึกเหมือนทานเค้ก Black Forest มากๆ
ถัดมาก็คือ Jay and Daisy dating cookies ซึ่งเป็นคุกกี้ที่ทำเป็นรูปเสื้อผ้าของ Jay และ Daisy ในวันที่ทั้ง 2 ไปออกเดทด้วยกันนั่นเอง ที่มี 2 รสชาติ คือ ตัวช็อคโกแลต และ ตัวสตอเบอร์รี่ ซึ่ง ตัวเนื้อBiscuit นั้น มีความเนียน และละเอียดเป็นอย่างมาก โดยหากรับประทานควบคู่กับชา Original Earl Grey นั้น จะสัมผัสได้ถึงความลงตัวอย่างมาก
เมนูถัดไปก็คือ Daisy’s stuff หรือของใช้ของ Daisy นั่นเอง ซึ่งเป็นช็อกโกแลตที่ถูกออกแบบ มาในรูปของรองเท้าส้นสูง เสิร์ฟคู่กับ มูสราสเบอรี่ด้านในรองเท้า ที่วางอยู่ด้วยกันก็จะเป็นกระเป๋าถือหน้าตาน่ารักของ Daisy ที่ทำมาจากไวท์ช็อกโกแลตและลิ้นจี่ด้านใน ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงไปยังเรื่องราว ของคุณ Daisy โดยรสชาติของทั้ง 2 อย่างนี้ จะสอดไส้ไปด้วยรสชาติที่เปรี้ยว ทั้งตัว มูสราสเบอรี่ และ ตัวลิ้นจี่ แต่เมื่อรับประทานไปพร้อมๆกับ ตัวช็อคโกแลต หรือ ไวท์ช็อคโกแลตที่เคลือบมา ที่มีรสชาติหวาน จะทำให้ทั้ง 2 อย่างนั้น มีรสชาติเปรี้ยวตัดหวานสลับกันไปอย่างพอดิบพอดี
ในส่วนของเมนู Classic Tiramisu นี้ ก็จะเป็นทิรามิสุที่เสิร์ฟมาในพอร์ชั่นเล็กๆน่ารักๆใส่ไว้ในแก้วแล้วตกแต่งด้วยหมวกขาวที่ทำจากไวท์ช็อกโกแลต โดยในเมนูนั้นได้อธิบายไว้ว่าทิรามิสุนี้เป็นสูตรของแม่ของ Daisy นั่นเอง ตัวทิรามสุ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีกลิ่นหอมของกาแฟและครีมที่หวานมันอร่อยมาก ทานพร้อมกับชากาแฟแล้วเข้ากันดีมากเลยทีเดียว
ในส่วนของขนมชิ้นต่อมานั้นคือ The key ซึ่งก็คือ New York Cheesecake ที่เสิร์ฟพร้อมราสเบอรี่ และ ช็อกโกแลต ที่ทำออกมาเป็นรูปกุญแจน่ารักเลยทีเดียว ชีสเค้กนั้นเนื้อละเอียดแล้วก็หอมเนยมากๆ รสชาติ ของเนื้อเค้กตัดกับราสเบอรี่ชิ้นโตที่วางอยู่ด้านบนซึ่งเมื่อทานด้วยกันแล้วจะลงตัว และ เข้ากันอย่างมาก
ต่อกันด้วย Exotic หรือ ทาร์ตผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยผลไม้หลากชนิด ถ้าเทียบกับชิ้นอื่นๆแล้ว ของหวานชิ้นนี่มีรส เปรี้ยวเป็นหลัก อาจทานคู่ชาไม่ได้แต่สามารถนำมาทานตัดเลี่ยนได้ระหว่างทานชิ้นอื่น ซึ่งโดยรวมของตัวขนมนั้น มีการผสมผสานผลไม้หลากชนิดที่มีความพิเศษแตกต่างกันทำให้ตัวทาร์ตผลไม้ตัวนี้นั้น มีสีสันสวยงามและมีรสชาติหลากหลายอีกด้วย
นอกเหนือจาก Jay’s and daisy Afternoon Tea ที่ถูกเสิร์ฟมานั้น ทางร้านก็ยังมีอาหารเพิ่มเติมที่จะถูกนำมาเสิร์ฟจากห้องอาหาร Scalini ให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติกันอีกด้วย เฉกเช่น เบอร์เกอร์เนื้อ ที่เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของทาง Scalini ตัวเบอร์เกอร์ถูกเสิร์ฟแยกกันเพื่อที่จะสามารถทานง่ายขึ้นได้ โดยที่ตัวเนื้อบดนั้น สามารถทำออกมาได้สุกในระดับกำลังพอดี อีกทั้งยังมีรสสัมผัสที่เข้ากันได้ดีกับตัวขนมปัง และ เครื่องเคียงที่ถูกเสิร์ฟมาพร้อมๆกันอย่าง ไข่ดาว หรือ Onion Ring ซึ่งบรรดาเครื่องเคียงเหล่านี้ เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ช่วยชูโรงให้กับเบอร์เกอร์เนื้อตัวนี้ มากขึ้นไปอีก
Lobster Pasta เป็นอีกหนึ่งเมนูที่มีรสชาติเข้มข้นและจัดจ้านพอตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่า ตัวล็อบสเตอร์นั้น เนื้อแน่น และมีความชุ่มช่ำอย่างมาก อีกทั้งเมื่อรับประทานควบคู่กับตัวเส้นพาสต้า ก็ช่วยเสริมรสชาติของตัวล็อบสเตอร์ให้มีช่ำมากขึ้น อีกทั้งตัวพาสต้ายังถูกโรยด้วย Parmisan Cheese ซึ่งให้กลิ่นหอมและความเค็มปลายลิ้นมาช่วยดับคาวเนื้อล็อปส์เตอร์ได้เป็นอย่างดี
เมนูสุดท้ายที่ทางเราอยากแนะนำให้กับทุกคน นั่นคือ Margarita Pizza ซึ่งเป็นเมนูอิตาเลี่ยนพิซซ่าที่เรียบง่ายมากๆ โดยตัวแป้งพิซซ่าถูกอบในเตาถ่านทำให้คงความดั้งเดิมและมีกลิ่นหอมกำมะถันจากเตาอบ ตัวแป้งไม่ได้หนาจนเกินไปและ ถูกโรยหน้าด้วยมะเขิอเทศ และ ใบกะเพรา ซึ่งมอบกลิ่นหอมให้กับพิซซ่าได้อย่างดีเยี่ยม
สำหรับคนใดที่สนใจที่จะมาลิ้มลองรสชาติอาหาร หรือ ตามรอยการจิบชายามบ่ายในแบบสไตล์อังกฤษ พร้อมๆกับ ของหวานที่ถูกรังสรรค์มาได้อย่างสวยงามและน่าสนใจ ทาง SOtraveler ก็ขอแนะนำให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสประสบการณ์กันได้ที่ Mondo ณ โรงแรม Hilton สุขุมวิท ครับ ซึ่งนอกจากรสชาติ และ การตกแต่งอาหารที่ยอดเยี่ยมแล้วนั่น เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆ จากความละเมียดละไม และ ความพิถีพิถัน ในหลากหลายสิ่งที่ทางร้านตั้งใจรังสรรค์ให้กับเรากลับไปอย่างแน่นอนครับ
[ms_post_fields groups=”info”]
น่ากินจัง