ต่อเนื่องมาจากการเข้าพักที่โรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง เรายังคงให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่รีบไม่เร่งตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางว่า “เราจะคืนความสุขให้กับร่างกาย เราจะซึมซับความสโลว์ไลฟ์ของหลวงพระบางไว้ให้มากที่สุด” ก่อนที่จะเช็คเอาท์จากโรงแรม เราจึงจัดโปรแกรมนวดผ่อนคลายที่ Le SPA ก่อนกลับ ทุกคนต้องผ่านเรือนไม้รูปทรงคล้ายเรือนไทยทางภาคเหนือของไทยสามหลังที่อยู่ด้านหน้าโรงแรม เป็นล็อปบี้หนึ่งหลัง เป็นเรือนสำหรับจัดประชุมเล็กๆ และโรงเรียนสอนทำอาหารหนึ่งหลัง และอีกหนึ่งหลังคือ Le SPA ที่มีป้ายชื่อตั้งตรงบันไดทางขึ้น เด่นพอที่จะเรียกสายตาจากทุกคนที่เดินผ่าน
เราเลือกเป็นคอร์สนวด Lao Wisdom Massage ซึ่งก็เป็นการนวดแบบไม่ใช้น้ำมันคล้ายๆ นวดไทย จากประสบการณ์ที่ได้นวดหลายๆ ที่มาผมจับความแตกต่างของการนวดลาวและนวดไทยได้ เดี๋ยวเราจะเขียนไว้ตอนท้าย ก่อนอื่นมาดูขั้นตอนการบริการของ Le SPA ที่นี่ตั้งแต่การต้อนรับกันเลย
ด้วยตัวอาคารของสปาที่เป็นเรือนไม้ ดังนั้นเวลาเดินก็จะมีเสียงออดแอดดังขั้นมาเป็นบางที ช่องลมต่างๆถูกปิดไว้ด้วยกระจก อากาศอาจไม่เย็นฉ่ำแบบสปาในเมืองเป็นความเย็นที่มีไอร้อนผสมอยู่เล็กน้อย ก็พอดีกับการใส่เสื้อผ้าโปร่งสบายๆ ได้ฟิลลิ่งของการได้อยู่เรือนไม้ กลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นของน้ำมันนวดลอยอบอวลสร้างบรรยากาศของสปาได้ดี
เราเข้าไปในสปาตามเวลาที่จองไว้ พนักงานเข้ามาทักทายและต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “สบายดี” วันนี้เราคุ้นชินกับการทักทายด้วยคำว่าสบายดีแล้วเมื่ออยู่มาถึงวันที่สาม พนักงานเชิญให้เรานั่งเก้าอี้หนังภายในสปา
หลังจากนั้นก็เสิร์ฟ Welcome Drink เป็นน้ำมะตูม และผ้าเย็นอบสมุนไพร
และตามมาด้วย แบบฟอร์มสอบถามเกี่ยวกับส่วนที่ต้องระวัง ส่วนที่ต้องการเน้น น้ำหนักในการนวด แม้กระทั่งสไตล์ของเสียงเพลงที่ต้องการให้เปิดระหว่างนวด เพื่อให้เทอราปิสหรือพนักงานนวดทราบข้อมูลและทำการรักษาให้เราได้ผ่อนคลายตรงใจมากที่สุด ถือว่าครบขั้นตอนของการบริการสปาระดับสากลมาก เราสังเกตหลังจากที่พนักงานรับไปก็ส่งให้เทอราปิสได้อ่าน เทอราปิสค่อยๆ อ่านแบบใช้มือชี้ไปตามข้อมูลที่เราให้ไว้ ดูใส่ใจในข้อมูลที่เราให้ดีมาก
จากนั้น เทอราปิสก็เชิญไปยังห้องนวด ซึ่งเป็นห้องกว้าง มีห้องน้ำในตัว ถ้าไม่รีบกลับเราอยากจะจัดฟูลคอร์สมันซะเลย ห้องอาบน้ำกว้างแปลกตาดี ค้านสายตาจากการมองภายนอกเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าเรือนไม้จะมีห้องน้ำตกแต่งแบบครบถ้วน พร้อมอ่างอาบน้ำแบบนี้อยู่ภายในเรือน
เราเก็บภาพมาพอเป็นพิธี เนื่องจากเราคอร์สที่เรานวดเป็นนวดลาว ไม่ใช้น้ำมันพนักงานนำชุดผ้าฝ้ายมาให้เปลี่ยนเพื่อความสบายตัวระหว่างนวด
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในชุดผ้าฝ้ายเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ภายในห้อง พนักงานเริ่มต้นด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่นและตามด้วยการสครับเท้าด้วยกาแฟ พนักงานเบามือในการสครับ นั่นทำให้เรารู้สึกจักจี้จนหัวเราะคิกคักเลยบอกพนักงานว่า สครับแรงๆได้เลย ไม่ต้องออมมือ
เมื่อสคลับเท้าเสร็จพนักงานก็ให้นอนคว่ำบนเตียง นี่คือจุดที่ต่างจากนวดไทย ปกตินวดไทยที่เรานวดจะเป็นเบาะปูบนพื้น นี่เตียงเป็นเตียงอโรมาเลย
สเต็ปของการนวด เริ่มจากการกดจุดบริเวณช่วงเอวขึ้นไปจนถึงช่วงลำคอ เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องคลายเส้นก่อนนวด จากนั้นขั้นตอนการนวดจริงก็เริ่มที่ขาก่อน แล้วมาที่หลัง แล้วก็พลิกตัวด้านหน้าก็เริ่มที่ขาก่อนแล้วไล่ขึ้นมาข้างบนเช่นกัน และมีขั้นตอนให้เรานั่งกดนวดลำคอและบิดลำตัวซ้ายขวา ถือว่าเป็นการจบคอร์สของการนวดลาว Lao Wisdom Massage ที่ Le SPA โรงแรม Sofitel Luang Prabang
เอาล่ะที่นี้เรามาพูดถึงความแตกต่างของนวดลาวเมื่อเทียบกับนวดไทยที่เราสัมผัสได้คือ “การนวดครั้งนี้จะเน้นการกดมากกว่าการไล่เส้น การนวดไทยมักจะเป็นนวดรีดเส้นแต่นวดลาวที่ผมได้นวดครั้งนี้เน้นการกดแต่กดตามแนวเส้นเช่นกัน” เป็นความรู้สึกและการเปรียบเทียบจากประสบการณ์การทำสปาของเราเองนะ หากใครทราบความแตกต่างจริงๆก็มาเล่าแลกเปลี่ยนกับเราได้
หลังนวดเสร็จพนักงานได้เสิร์ฟชาร้อนและผลไม้ให้ด้วย
การได้มีโอกาสมาทำสปาที่ Le SPA โรงแรม Sofitel Luang Prabang เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถูกวางโปรแกรมไว้อย่างเหมาะสมคือการนวดผ่อนคลาย ก่อนเดินทางกลับ ทำให้เรากลับมาจากทริปแล้วรู้สึกสบายตัว พร้อมสู้กับการใช้ชีวิตอันเร่งด่วนในตัวเมืองกรุงเทพฯ อีกครั้ง พูดแล้วก็ถอนหายใจ คิดถึงจัง…หลวงพระบาง
ใครมีโอกาสไปหลวงพระบางก็ไปลองกันดู และหากกำลังหาทริปพักผ่อนใหักับตัวคุณ คนรัก ครอบครัว ก็ไปลองพักที่ Sofitel Luang Prabang ตามรอย SOtraveler.com ได้เลย แล้วคุณจะได้พักผ่อนกับเมืองมรดกโลกที่ยังมีลมหายใจ …ที่ชื่อว่า “หลวงพระบาง” ได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา
ใครที่อยากได้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของทางโรงแรงแรมได้เลย www.sofitel-luangprabang.com