“เลชเช่ (Lecce)” หนึ่งในเมืองสำคัญของแคว้น Puglia เราเริ่มต้นวันด้วยการเดินชมเมืองเก่าสไตล์บาโรกแห่งนี้ไปพร้อมกับเก็บภาพสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีร่องรอยวัฒนธรรมกรีกให้เห็นกันอยู่ทั่วเมือง
เลชเช่เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความเจริญ มีร้านค้า และคาเฟ่ที่เปิดรอให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการอยู่หลายร้าน
อาคารสูงใหญ่หรูหราที่สร้างจากหินปูนเรียงรายกันอยู่ ดึงดูดให้เราเข้าไปสัมผัสถึงความเป็นมาอันยาวนานกันแบบใกล้ ๆ ด้วยตาของตัวเอง จุดแรกที่เราได้เดินไปชมคือ “The Celestini Palace” หรือ Palazzo dei Celestini ปราสาทราชวังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบบาโรก ปัจจุบันที่นี่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลทำให้ทั้งโครงสร้างด้านใน และด้านนอกยังคงแข็งแรง ทั้งยังถูกใช้เป็นที่ว่าการของเมืองเลชเช่อีกด้วย
ถัดมาใกล้ ๆ กันคือ “Basilica di Santa Croce” หรือมหาวิหารซานตาโคร จุดสำคัญในเลชเช่ที่เราอยากให้ทุกคนมาสัมผัสกับความสวยงาม อันเป็นที่โปรดปรานของบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1549 – ค.ศ. 1582 มีความสวยงามโดดเด่นด้วยการแกะสลักหินที่สวยงาม ตกแต่งซุ้มด้านหน้าด้วยรูปปั้นสัตว์หน้าตาแปลกประหลาด
จุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจจากเราได้มากเห็นจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ตรงกลางที่แกะสลักเป็นรูปกุหลาบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะแบบกรีกโรมัน อลังการจนใครไปใครมาก็ต้องหยุดมอง
อีกหนึ่งสถานที่ทางโบราญคดีคือ The Roman Ampthitheatre อัฒจันทร์กลางแจ้งที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 2 ของโรมัน เป็นอัฒจันท์ขนาดใหญ่ และพื้นที่แสดงตรงกลาง เคยใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ของเหล่า Gladiator รวมไปถึงการแข่งขัน และการแสดงอื่น ๆ ในอดีต เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่แห่งความบันเทิงของชาวเลชเช่ในยุคโบราณ
ปัจจุบัน อัฒจันทร์แห่งนี้ถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่งเพราะมีอนุสาวรีย์อื่น ๆ สร้างขึ้นในศตวรรษหลัง ทำให้ไม่สามารถขุดออกมาได้ทั้งหมด
หลังจากชมความหรูหรา และฟูเฟื่องของสถาปัตยกรรมในตัวเมืองเลชเช่ เราก็มาต่อที่ กัลลิโพลี (Gallipoli) หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่อยู่ไม่ห่างจากเลชเช่มากนัก มองจากฝั่งเราจะเห็นเรือประมงลำน้อยใหญ่สีสันสดใสจอดเรียงกันอยู่ ภาพของท้องฟ้าสีน้ำเงินสดเข้ากับสีของน้ำทะเลนั้นสวยงามราวกับภาพในโปสการ์ด
หมู่บ้านชาวประโมงเก่าแก่แห่งนี้ มีทั้งส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และตลาดเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีคนเดินพลุกพล่านมากนัก หากใครต้องการของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านแนะนำให้มาเดินในโซนนี้เลย
จากนั้นเราเดินทางมาแวะที่ ออสทูนี (Ostuni) เมืองที่รู้จักกันในชื่อเมืองสีขาว เนื่องจากเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านที่ทาด้วยสีขาว
นอกจากจะชมบ้านเมืองสีขาวแล้ว ออสทูนียังมีจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมอีกเช่นกัน อย่างอนุสาวรีย์เซนต์ โอรอนโซ (Saint Oronzo ‘s column) ในจัตุรัสออสทูนี (Ostuni Square), โบสถ์เซนต์ วิโต มาร์ตีร์ (San Vito Martire) และมหาวิหารแห่งออสตูนี (Ostuni Cathedral) ที่ผู้คนนิยมแวะเวียนมาเยี่ยมชมกันอยู่ตลอดทั้งปี
__________________________________
NEXT STOP SOUTH ITALY!
ไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์ในเส้นทางอิตาลีใต้ พร้อมพิกัดเมืองสวยติดอันดับอันซีน
https://www.sotraveler.com/south-italy/
เปิดประสบการณ์พิซซ่าสูตรต้นตำรับที่ “เนเปิลส์ (Naples)”
https://www.sotraveler.com/pizzeria-da-michele-naples/
“ปอมเปอี (Pompeii)” เมืองโบราณใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟที่(เคย)ถูกลืม
https://www.sotraveler.com/pompeii/
สัมผัสความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมที่พระราชวังกาแซร์ตา (Caserta Royal Palace and Park)
https://www.sotraveler.com/caserta-royal-palace/
ชมความน่ารักของหมู่บ้านฮอบบิทแห่งอิตาลี ที่ อัลเบอโรเบลโล (Alberobello)
https://www.sotraveler.com/trullo-alberobello/
ดื่มด่ำเสน่ห์ 3 เมือง 3 สไตล์ เลชเช่ (Lecce) กัลลิโพลี (Gallipoli) และ ออสทูนี (Ostuni)
https://www.sotraveler.com/lecce-gallipoli-ostuni
หมู่บ้านหิน “มาเทรา (Matera)” ชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/matera/
ปิดท้ายเส้นทางอิตาลีใต้ด้วยกิจกรรมสุดตื่นเต้นและหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/castelmezzano/
พามาชิมไวน์ในโรงบ่มไวน์ ไร่องุ่นภูเขาไฟ Bosco de Medici เมืองปอมเปอี ประเทศอิตาลี
https://www.sotraveler.com/bosco-de-medici-winery/