ฉบับนี้เราขอเอาใจคุณผู้อ่านด้วยการชวนมาทานอาหารจีนที่ ‘ห้องอาหารจีน แมนโฮ’ หนึ่งในห้องอาหารจีนสุดโปรดของใครหลายคน และอาจกล่าวว่าของหลายครอบครัวก็ถูกอีกเช่นกัน ทุกๆ ครั้งที่เรากลับมาทานอาหารที่แมนโฮ ก็จะพบกับการต้อนรับของพนักงานต้อนรับกับแขกหลายๆท่าน ด้วยความสนิทสนมและจำกันได้ นี่คือสิ่งที่ยินยันคุณภาพของห้องอาหารได้ดียิ่งกว่าป้ายรางวัลต่างๆเสียอีก เรากลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากกว่าเดิม Executive Chinese Chef คนใหม่ มาประจำการแล้ว! เสียงกระซิบกล่าวเชิญชวนจาก เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ ให้มาลองทดสอบรสชาติฝีมือของ เชฟลี (Peter Li) เชฟใหญ่ห้องอาหารจีนแมนโฮ คนใหม่
เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือความแปลกใหม่ของสไตล์การปรุงและวิธีการนำเสนอของเชฟลี ที่ผสมผสานลงไปในเมนูอาหาร โดยเก็บเกี่ยวมาจากประสบการณ์ที่คลุกคลีมากับอาหารจีนดั้งเดิมมาอย่างยาวนานผสมผสานกับการเดินทางไปหลากหลายสถานที่ เชฟลีคือนักเดินทางท่องเที่ยวคนหนึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้รสชาติและสไตล์การปรุงอาหารของเชฟต่างจากเชฟห้องอาหารจีนคนอื่นๆ น่าสนใจ…มาติดตามอ่านกันต่อดีกว่า
ก่อนอื่น…เราขอแนะนำให้ทุกคนพบกับ Executive Chinese Chef คนใหม่ “Chef Peter Li ”
“ผมชอบท่องเที่ยว ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อาหารในแต่ละภูมิภาค เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของสถานที่นั้นๆ…จากจุดเล็กๆของการชอบท่องเที่ยวนี่แหละ ที่ทำให้ผมเลือกเป็นเชฟมาจนถึงทุกวันนี้” – คำบอกเล่าเกี่ยวกับตัวตนและแนวคิดของ “ปีเตอร์ ลี” หัวหน้าเชฟอาหารจีนคนแรก ที่มีโอกาสได้ดูแลเรื่องอาหารให้แก่เชื้อพระวงศ์แห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย
ย้ำชัดๆอีกครั้ง “เชฟคนนี้เคยดูแลอาหารให้เชื้อพระวงศ์มาก่อน”
นอกจากนั้น ด้วยประสบการณ์การเป็นเชฟที่สั่งสมมายาวนานกว่า 20 ปี และความรักความเอาใจใส่ในการปรุงอาหารทุกขั้นตอน ยังทำให้ทำให้ ปีเตอร์ ลี ได้รับเกียรติเป็นหัวหน้าเชฟผู้ดูแลอาหารให้แก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิก และพระราชวงศ์จากหลายประเทศที่มาร่วมงานโอลิมปิกเมื่อปี 2008 อีกด้วย
ก่อนที่จะไปสัมผัสกับฝีมือเชฟลี ภาพจีนแผ่นดินใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในความคิด แผ่นดินกว้างใหญ่ซะขนาดนั้น มณฑลก็แสนจะมากมาย อาหารที่เชฟลีถนัดจะเป็นสไตล์ของมณฑลไหนกันนะ อยากรู้
เมื่ออยากรู้ก็เลยต้องสืบค้น และก็พบว่า “อาหารจีน” นั้น หลากหลายและแตกต่างกันมากเหลือเกิน
- อาหารจีนเสฉวน : มีลักษณะพิเศษคือ มีรสเผ็ด ซ่า สด หอม และไม่เลี่ยน ถือเป็นอาหารจีนที่มีรสจัดที่สุด เนื่องจากมณฑลเสฉวนตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำ อากาศชื้น ผู้คนจึงนิยมทานพริกเพื่อขับไล่ความชื้นออกจากร่างกาย
- อาหารจีนกวางตุ้ง : เด่นด้านการใช้เทคนิคการปรุงเพื่อคงความสดใหม่ของอาหารมากที่สุด มักใช้น้ำมันหอยและผัก เน้นการปรุงอาหารที่สด และรสชาตินุ่มนวล
- อาหารจีนฮกเกี้ยน : เด่นด้านการใช้น้ำซุป มักใช้ข้าวหมักสีแดงสด นำมาหมักเต้าหู้ยี้สีแดงมีน้ำซุปใสที่เก่าแก่ที่สุด และใช้เครื่องปรุงบางอย่างจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น น้ำปลาและผงกะหรี่
- อาหารจีนไหหลำ : ส่วนใหญ่มีเต้าเจี้ยวถั่วเหลืองและถั่วดำเป็นเอกลักษณ์พิเศษ และใช้น้ำส้มปรุงรส โดยทั่วไปจะมีชนิดอาหารคล้ายอาหารจีนแบบอื่นๆ แต่จะมีรสชาติและหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไป
- อาหารจีนปักกิ่ง : เน้นการทอดที่กรอบและรสชาตินุ่มนวล แต่อาหารส่วนใหญ่ใช้ไขมันค่อนข้างสูง เพราะเป็นภูมิภาคที่มีอากาศหนาวเย็น
- อาหารจีนซัวเถา : เน้นการตุ๋นและเคี่ยวจนเปื่อยชนิดที่แทบละลายเมื่อสัมผัสลิ้น
- อาหารจีนชานตง : โดดเด่นในด้านการเป็นอาหารในราชสำนัก เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากชาวแมนจูและชาวมองโกลเข้าไว้ด้วยกัน
- อาหารจีนเซี่ยงไฮ้ : เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารตะวันตกมากที่สุด เพราะเป็นเมืองท่าเมืองเดียวของจีนในสมัยที่เริ่มติดต่อกับชาติตะวันตก รสชาติจึงค่อนไปทางตะวันตก
- อาหารจีนแต้จิ๋ว : มีลักษณะคล้ายอาหารจีนกวางตุ้ง แต่เน้นอาหารทะเลมากกว่า
- อาหารจีนแคะ : หรือจีนฮากกา เป็นอาหารที่เน้นข้าว เนื้อสัตว์ ผักดองและผักตากแห้งเป็นหลัก
อุตสาห์ค้นหาข้อมูลอาหารจีนจากภูมิภาคต่างๆอย่างมากมาย เพื่อจะยิงคำถามไปที่เชฟลีว่า สไตล์อาหารจีนของเขาคือแบบไหน? แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นแบบนี้
“อาหารจีนที่แท้จริงก็คืออาหารจีน”
สิ่งที่เชฟลีตั้งใจรังสรรค์ให้ทุกคนได้ลิ้มรสก็คืออาหารจีนแท้ๆ ที่ไม่มีการแบ่งว่าอยู่ก๊กใด เผ่าไหน หากแต่เป็นอาหารที่แฝงไปด้วยวัฒนธรรมและเทคนิคการปรุงที่เขาได้เรียนรู้จากการท่องเที่ยวและสัมผัสมามากมายถึง 14 ประเทศ ข้อมูลที่ค้นมาเมื่อรวมกันทุกอย่างจึงกลายเป็นสไตล์ของเชฟลีไปโดยปริยาย
การมาชิมอาหารของเราในวันนี้ เชฟลีแบ่งอาหารที่พรีเซนต์ ออกเป็นทั้งหมด 8 คอร์ส
แต่ละคอร์ส เชฟลีทำหน้าที่เป็นทั้งผู้แนะนำและปรุงอาหารด้วยตัวเองทุกเมนู
เริ่มต้นกันที่คอร์สแรก : 1st Course “Squid Ink Har Gao”
ไม่น่าเชื่อว่า ‘หมึกดำ’ พระเอกจากอาหารอิตาเลียน จะเข้ากับนางเอกติ่มซำอย่างฮะเก๋าได้ เมนูนี้เพียงฮะเก๋าที่เนื้อในอัดแน่นด้วยกุ้งชิ้นโตปรุงรสละมุน ก็แสนจะเลิศแล้ว แต่แป้งหมึกดำที่ทั้งเหนียวและนุ่มนุ่มนี่สิ เลิศยิ่งกว่า เลิศชนิดที่ไม่ต้องถามหาน้ำจิ้มก็อร่อยได้ไม่ยั้ง
เราแอบเรียกเมนูนี้ว่า “ฮะเก๋าเท่าไหร่ก็ได้” เปล่านะ!! เปล่าตะกละ!! เพียงแค่รู้สึกว่าชิมไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกพอ ก็เท่านั้น!! Squid Ink Har Gao อร่อยกลมกล่อมเหมาะกับเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยจริงๆ
คอร์สที่สอง : 2nd Course “Teapot Seafood Soup with Ginseng”
สายตาเราทุกคน ต่างจ้องตามกาซุปตั้งแต่ตอนที่มันถูกเสิร์ฟมาบนโต๊ะ เสน่ห์ของซุปก็อยู่ที่กานี่ล่ะ ควันจากซุปค่อยๆพุ่งออกมาจากพวยกา บอกให้รู้ว่าซุปปรุงใหม่ๆที่นอนรออยู่ข้างในกานั้นหอมเย้ายวนขนาดไหน
วิธีการลิ้มลองซุปกาให้อร่อยก็คือ เทน้ำซุปจากกาเพื่อซดน้ำซุปร้อนๆก่อน แล้วค่อยเปิดฝากาเพื่อทานเนื้อด้านใน สัมผัสแรกคือน้ำซุปที่อุ่นร้อนกำลังดีนั้น ทั้งกลมกล่อม และละมุนละไม สัมผัสต่อมาคือเนื้อด้านในซึ่งเต็มไปด้วยหอยเชล์ กุ้ง และปลาหมึก ปรุงด้วยสมุนไพรจีนนานาชนิด เพียงทานสลับกันไปมา ก็ฟินเว่อร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คอร์สที่สาม : 3rd Course “Fire Peking Duck”
เป็ดปักกิ่ง เป็นเมนูที่เราเคยชิมมาพอสมควร แต่ยังไม่เคยเห็นการปรุงชัดๆแบบคราวนี้มาก่อน เลยอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
เชฟลีเดินออกจากครัวมาพร้อมเป็ดปักกิ่ง เขาวางเป็ดทั้งตัวไว้บนโต๊ะ ค่อยๆเทเหล้าลงบนหนังของเป็ด แล้วเบิร์นด้วยเปลวไฟ ไฟที่โลมเลียอยู่นั้นค่อยๆเปลี่ยนสีของหนังเป็ดอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งกลิ่นหอมตามมา เริ่มจากกลิ่นหอมอ่อนๆค่อยๆกลายเป็นกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอย่างแรง
เมื่อสุกได้ที่เชฟลีก็สไลด์หนังติดเนื้อเสิร์ฟให้เราทานแบบทันที เชฟบอกว่าเมนูเป็ดปักกิ่งของเชฟไม่เหมือนที่อื่นเพราะเนื้อข้างในสุกทานหนังพร้อมเนื้อได้เลย ส่วนที่อื่นทั่วไปมักจะเน้นปรุงหนังให้กรอบเป็นหลักโดยที่เนื้อเป็ดยังไม่สุก จึงต้องนำเนื้อไปปรุงต่างหากภายหลัง
สำหรับวิธีทานก็เหมือนกับเป็ดปักกิ่งทั่วไปคือห่อแป้งและเติมเครื่องเคียงตามใจชอบ หรือใครอยากรับประทานเป็ดเปล่าๆก็อร่อยไปอีกแบบ
คอร์สที่สี่ : 4th Course “Sauna King Prawns”
เชฟลีหายเข้าไปในครัวให้เราได้พักกระเพาะอาหารสักพักนึง แล้วก็ออกมาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวยักษ์ที่อยู่ในภาชนะคล้ายกรวยสาน (เชฟแอบติดตลกด้วยว่าเมื่อเช้าเชฟเป็นคนไปจับกุ้งพวกนี้เองกับมือ) ด้านหน้าของเชฟมีหม้อใบใหญ่ที่มีหินร้อนอยู่ข้างใน
เชฟลีเริ่มต้นจากการค่อยๆวางกุ้งลงไปบนผิวของหินร้อนทีละตัว แล้วเทน้ำซุปเดือดจัดพร้อมปิดฝาอย่างรวดเร็วเหมือนการซาวน่าตามชื่อของเมนู หลังจากจับเวลาเพียงไม่นาน ฝาหม้อก็ถูกเปิดออก กลิ่นหอมโชยเตะจมูกอย่างจัง ต่อมน้ำลายทำงานหนักอีกครั้ง
กุ้งซาวน่าที่เนื้อแน่นและหวานถูกเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของเชฟลีที่มีทั้งกลิ่นหอมและรสเค็มๆละมุนลิ้น อร่อยมากมายสมกับที่รอคอยจริงๆ
คอร์สที่ห้า : 5th “Zhong Qing Style Bamboo Fish”
ปลาเมนูนี้เชฟลีได้แรงบันดาลใจมาจากการเสิร์ฟอาหารในกระบอกไม้ไผ่ หรือข้าวหลามของไทยเรานี่เอง
โดยปลาที่ใช้ในการปรุงคือปลาหิมะที่ถูกนำมา Deep fried ให้มีความกรุบกรอบ และแต่งหน้าด้วยพริกเผาที่รสชาติเข้ากันแบบสุดๆ แล้วบรรจุลงในกระบอกไม้ไผ่ เสิร์ฟในขณะที่ยังร้อนๆ ได้รสชาติที่อร่อยลิ้นและหอมกลิ่นจากไม้ไผ่ไปพร้อมๆกัน
คอร์สที่หก : 6th “Pan-fried Japanese Scallop Wrap with Bacon in XO Sauce”
คราวนี้เชฟลีนำหอยเชลล์คำใหญ่พันด้วยเบค่อนชิ้นหนาทุกอย่างปรุงรสอย่างดีและเสิร์ฟมาในขนาดพอดีคำ ทานคู่กับซอสเอ็กซ์โอ หน้าตาอาหารที่ดูธรรมดา แต่พอสัมผัสลิ้นกลับกลายเป็นฟินยิ่งกว่าฟินได้อย่างน่าทึ่ง เป็นอีกเมนูที่อยากชวนเพื่อนๆมาลองชิม
คอร์สที่เจ็ด : 7th “Salt Bake Taiji Chicken”
คราวนี้เชฟลีออกมาจากครัวพร้อมกับใบบัวขนาดยักษ์ที่โรยเกลือไว้ทั่วใบ ข้างในใบบัวคือไก่ทั้งตัวที่ถูกห่อไว้ เชฟโชว์ลีลาการปรุงโดยใช้ไฟแรงจากเตาถ่าน และใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น เชฟบอกว่าเทคนิคนี้จะทำให้เนื้อไก่ไม่สุกจนเกินไป
พอสุกได้ที่ เชฟก็ใช้มีดผ่าใบบัวออก แล้วค่อยๆเฉือนเนื้อไก่เสิร์ฟทีละชิ้น ทานคู่กับพริกเผา เข้ากันมากทีเดียว
คอร์สที่แปด : 8th “Ice Cream Hot Pot”
เมนูสุดท้ายเป็นขนมหวานที่เชฟลีออกแบบให้มีความเป็นซัมเมอร์(Summer)
ภาชนะที่เสิร์ฟมีลักษณะเป็นชามขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นหม้อร้อนระอุ ด้านนอกมีควันจากน้ำแข็งแห้ง ขนมหวานที่อยู่ด้านบนเป็นไอศกรีมวนิลาพร้อมท็อปปิ้งด้วยฮอตช็อกโกแลตฟัดจ์ ส่วนด้านล่างเป็นสปอนจ์เค้กช็อกโกแลตลาวาเนื้อนุ่ม ทานคู่กันแล้วได้อารมณ์ซัมเมอร์จริงๆ
เราอยากให้คุณมาลองสัมผัสประสบการณ์อาหารจีนที่สุดพิเศษราวกับยกครัวจากพระราชวังมาตั้งตรงหน้า ควบคุมคุณภาพด้วยเชฟชั้นเลิศที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อย่างปีเตอร์ ลี พร้อมสูตรการปรุงอาหารที่เป็นซิกเนอเจอร์ของเขา เราเชื่อว่าทุกท่านที่ได้สัมผัสจะประทับใจสุดๆกับห้องอาหารจีนแมนโฮ โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ
พิกัดและสถานที่ :
ห้องอาหารจีนแมนโฮ (Man Ho)
โรงแรม เจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ (JW Marriott Bangkok)
4 สุขุมวิทซอย 2 คลองเตย กรุงเทพ 10110
การเดินทาง :
• จากทางด่วนบางนา ลงถนนเพชรบุรี เลี้ยวขวาเข้าซอยนานา เลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท ชิดซ้ายเพื่อเข้าสุขุมวิทซอย 2
• รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีเพลินจิตทางออก 4 ข้ามทางรถไฟ และเดินตรงถึงโรงแรม
สำรองที่นั่งได้ที่ :
เบอร์โทรศัพท์ 02-656-7700
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์@ ของเรา “@sotraveler”