ถ้าจะพูดถึงจังหวัดที่ติดกับทะเลไม่ไกลจากกรุงเทพ พัทยา, หัวหิน, บางแสน, ระยอง จะเป็นรายชื่อที่มีการพูดถึงกันบ่อยที่สุด เนื่องด้วยความเคยชินทั้งการเดินทางและการหาข้อมูลที่พัก ที่กิน จึงทำให้เมืองเหล่านี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนเดินทางไปเยือนตลอดทั้งปี
รีวิวนี้ SOtraveler จะพาทุกท่านไปยังจังหวัดที่เป็นประตูหน้าด่านก่อนลงภาคใต้ เพื่อแนะนำสถานที่พักสวยๆ บรรยากาศดี มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอยู่ใกล้ๆ นั่นคืออำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่เดินทางผ่านจากหัวหินเพียงแค่ชั่วอึดใจ “ความเป็นส่วนตัว” นั้นไม่เป็นรองใคร กับรีสอร์ทที่อยู่ติดทะเล ถูกโอบกอดด้วยภูเขา กับรีสอร์ทที่มีชื่อว่า
ปูละคอน ไพรเวท บีช รีสอร์ท (Pulakorn Private Beach Resort)
ปูละคอนตั้งชื่อตามปูท้องถิ่นที่มีก้ามแขนข้างหนึ่งใหญ่โต เวลาเดินจะมีการแกว่งก้ามข้างนี้ขึ้นๆ ลงๆ คล้ายๆ กับปูกำลังทำการแสดงละคร ชาวบ้านในท้องถิ่นเลยตั้งภาษาเรียกปูพันธุ์นี้ว่า “ปูละคอน” หรือ “ปูก้ามดาบ”
สิ่งแรกเมื่อเราได้มายืนอยู่หน้ารีสอร์ทคือการได้เห็นความเขียวขจีของธรรมชาติภายในรีสอร์ทที่ได้บรรจงสร้างเพื่อใช้ต้อนรับกับทุกท่านที่มาเยือน จนทำให้รู้สึกถึงความกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศรอบๆ ล็อบบี้มีการออกแบบให้มีรูปทรงคล้ายกับหัวเรือ มีการปลูกต้นไม้ต่างๆ อยู่เต็มพื้นที่ สร้างความเขียวขจีให้กับตัวรีสอร์ท
สำหรับแขกที่มาปูละคอน ไพรเวท บีช รีสอร์ท จะจอดรถที่ลานจอดรถของรีสอร์ท จากนั้นต้องนั่งเรือเพื่อข้ามฟากจากจุดจอดรถของรีสอร์ท มายังตัวรีสอร์ทที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หลังจากที่เรือได้เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือฝั่งหนึ่งเข้าเทียบท่าเรือของรีสอร์ทนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกยิ่งตื่นเต้น เพราะนั่นหมายถึงเราได้ถึงจุดหมายปลายทางของเราเรียบร้อยแล้ว
ทางรีสอร์ทได้จัดชุด Welcome drink มาเสิร์ฟให้ทันทีที่นั่งในล็อบบี้ ซึ่งในชุดประกอบด้วยน้ำใบเตยหอมๆ, แตงโมหวานฉ่ำและผ้าเย็นช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
หลังจากเช็คอิน เราขอเติมพลังมื้อเที่ยงที่ “ห้องอาหารปูละคอน” กันก่อน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับล็อบบี้ ห้องอาหารตกแต่งด้วยกระจกใสบานยาวรอบด้าน เพดานสูงและโปร่ง ทำให้เห็นบรรยากาศรีสอร์ทด้านนอก ทางห้องอาหารได้จัดที่นั่งทั้งด้านในและนอกห้องอาหาร บรรยากาศด้านนอกก็จะมีลมพัดมาเรื่อยๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนใช้เวลาดื่มด่ำรับลมธรรมชาติ
บรรยากาศด้านในเป็นห้องปรับอากาศ ตกแต่งด้วยแสงสีโทนอุ่น เน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ ในระหว่างที่รอก็จะได้ยินเสียงครัวซึ่งอยู่ติดกับห้องอาหาร เรียกความหิวได้ดีเหลือเกิน
แกงปูทะเลผักชะคราม (350.-)
บล็อคโคลี่ผัดกุ้ง (150.-)
ยำรวมมิตรทะเล (170.-)
ฉู่ฉี่ปลาทู (180.-)
ปลาทูย่าง
แกงส้มยอดมะพร้าว (200.-)
อาหารที่นี่ได้รับการปรุงโดยแม่ครัวซึ่งเป็นคนในพื้นที่ รสชาติอาหารจะมีความจัดจ้านถึงเครื่อง วัตถุดิบและเครื่องปรุง จะมาจากในพื้นที่เป็นหลัก ดังนั้นเรื่องความสด ความเข้มข้น และรสชาติอาหาร ก็จะมีความโดดเด่นและชัดเจน
ลงท้ายด้วยของหวานสุดโปรดที่เราไม่เคยพลาด นั่นก็คือ ข้าวเหนียวมะม่วง จัดมาแบบเรียบง่าย ขนาดกำลังพอดีกับคนทาน 1 คน
หลังจากที่ได้รับความเพลินจากการทานอาหารอร่อยๆ เรียบร้อยแล้ว ขอพาไปแนะนำบรรยากาศในมุมต่างๆ ของรีสอร์ทกันหน่อย เมื่อก้าวออกจากห้องอาหาร จะมองเห็นสนามหญ้าตรงกลางรีสอร์ท ความชะอุ่มของสีเขียว มองไปเห็นผิวน้ำทะเลและภูเขาด้านหลัง เป็นบรรยากาศที่แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความสบาย
ศาลาหลังเล็กที่รองรับแขกเป็นกลุ่ม ปกติแล้วผมทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก เห็นแต่รถติดตามถนนเส้นต่างๆ แต่พอได้มานั่งอยู่ที่นี่ ได้เห็นเรือเคลื่อนตัวผ่านรีสอร์ทเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงของวัน เป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เดินเล่นอยู่ระยะนึง เราก็พร้อมที่จะเข้าห้องพักกันแล้ว ห้องพักของเราในวันนี้จะเป็นห้องแบบ Executive Suite ภายในห้องพัก มีการแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นสัดส่วน ประกอบด้วย ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน และห้องน้ำ
เริ่มต้นกันที่บรรยากาศของห้องนอนกันก่อน เตียงนอนคลุมด้วยชุดเครื่องนอนสีขาว เพดานห้องสูงโปร่ง มองทะลุกระจกริมระเบียงเห็นวิวของทะเล และทิวเขาเขียวขจี
ถัดจากห้องนอน เป็นห้องน้ำที่ได้รับการถ่ายทอดอารมณ์ ของการได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติได้ดีไม่แพ้กัน อ่างอาบน้ำลอยตัวตั้งอยู่ในห้องน้ำ มองเห็นวิวด้านนอกได้เหมือนห้องนอน
ฝั่งตรงข้ามกับอ่างอาบน้ำ เป็นพื้นที่อาบน้ำด้วยฝักบัว สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกในขณะอาบน้ำได้
บริเวณใกล้ๆ รีสอร์ท จะเป็นหมู่บ้านชาวประมงในพื้นที่ ทางรีสอร์ทมีบริการให้นั่งเรือชมวิถีชีวิตของชุมชน การบริหารจัดการของที่นี่ได้ใช้รูปแบบการพึ่งพาอาศัยกัน พนักงานบางส่วนก็เป็นคนในพื้นที่ มีการซื้อวัตถุดิบจากชุมชน อาหารทะเลที่นำมาปรุง ก็จะเป็นของสดที่รับซื้อจากชาวบ้านในชุมชน
เรือแล่นพาชมบริเวณรอบๆ รีสอร์ท มองเห็นมุมกว้างได้อย่างชัดเจน ทิวเขาด้านข้างรีสอร์ทก็มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น ถ้ำพระยานคร ที่อยู่ห่างจากรีสอร์ทเพียง 1.3 กิโลเมตร
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทางรีสอร์ทมีบริการคือ การล่องเรือจิบชา แต่ในวันที่เราไป เราขอขึ้นมาทานชุด Afternoon Tea บนฝั่งหลังล่องเรือจะดีกว่า
การได้ทานชุดน้ำชายามบ่าย หรือ Afternoon Tea
ท่ามกลางบรรยากาศทะเลแบบนี้ คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกันบ่อยนัก
จึงเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจและโรแมนติกมากทีเดียว
มุมด้านหลังห้องพักแบบ Executive Suite
สำหรับแขกที่มาเป็นครอบครัวหรือเป็นกลุ่ม สามารถเลือกพักแบบเป็นส่วนตัวได้ด้วยห้องพักแบบ Family Room with Sea View ติดสระว่ายน้ำ มองเห็นวิวทะเล
ห้องพักแบบ Pool Access เรียงยาวมองเห็นวิวทะเลทุกห้อง
Kids room รอต้อนรับเด็กๆ ที่มากับครอบครัวด้วยบรรยากาศโปร่งโล่ง มองเห็นทะเลและเรือชาวประมงที่เคลื่อนผ่านตัวรีสอร์ทด้วย
นี่เป็นสปาในอนาคตมีบรรยากาศดีไม่แพ้กัน เสียดายตอนที่เราไปพัก ยังไม่พร้อมให้บริการ เห็นบรรยากาศแล้วมันน่าจัดสักคอร์สนักเชียว
ช่วงเวลาเย็น บริเวณสะพานที่ทอดตัวข้ามสระว่ายน้ำ ไปยังสนามหญ้าติดทะเล
ภาพของล็อบบี้ช่วงพลบค่ำ เมื่อความมืดเข้ามาถึงรีสอร์ท ความสวยงามของแสงและเงาที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ก็ปรากฎขึ้นการออกแบบล็อบบี้ เน้นความโปร่งของผนังเพื่อให้ลมถ่ายเทได้ตลอดเวลา ถือเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของรีสอร์ทริมทะเล
ค่ำแล้วเรากลับมาที่ห้องพักกันต่อ ที่ห้องนั่งเล่นดูทีวี
พร้อมกับอีกมุม หากเปิดม่านจะมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางของรีสอร์ท
เตียงนอนขนาดกำลังพอเหมาะกับการมาพักเป็นคู่ นุ่มนอนสบาย เพดานสูงโปร่งไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดในช่วงเวลาที่อยู่ในห้อง
ห้องน้ำแบบใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผนังโปร่งมองเห็นบรรยากาศภายนอกรีสอร์ท ไม่ว่าจะอาบแบบแช่อ่างน้ำ และ rain shower
ที่ห้องนอนยังมีระเบียงห้องกว้างประมาณนึง นั่งเล่นอยู่ตรงมุมนี้ มองระลอกคลื่นเล็กๆของทะเล มีเสียงนกร้องผสมผสานเข้ามาเป็นบางจังหวะ เป็นช่วงเวลาที่สร้างความรู้สึกและความทรงจำดีดีที่เรามีต่อรีสอร์ทนี้
หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืน เช้าวันใหม่ก็ทำให้เรารู้สึกสดชื่นมาก เสาบ้านรังนกนี้จะเห็นอยู่ทั่วรีสอร์ท นี่คือลำโพงที่ใช้งานได้จริง มีเพลงเพราะๆเปิดเบาๆทั่วรีสอร์ท
อาหารเช้าของรีสอร์ทจะเป็นแบบเซ็ทอาหารเช้า American Breakfast ข้าวต้ม ข้าวผัด เลือกสั่งได้จากเมนูของห้องอาหาร นอกจากนี้ยังมีไลน์สลัด ผลไม้ ขนมปัง น้ำผลไม้ กาแฟ ชา ให้เลือกทานเพิ่มเติม
ระเบียงหลังห้องพักยามเช้า
รีสอร์ทนี้มีอยู่ 2 ชั้น ถ้าชอบความส่วนตัว มองเห็นวิวไกลขึ้นอีกหน่อย ห้องพักชั้นสอง ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในการนั่งดูวิวรับลมทะเลเช่นกัน
บรรยากาศของรีสอร์ทในมุมสูงจากหาดด้านหลังรีสอร์ท มองเห็นตัวรีสอร์ทที่โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขาแบบชัดเจน ทิวเขาสลับกันจนในบางครั้งถ้าไม่ได้มองหรือสนใจทะเล จะนึกว่าเรากำลังอยู่ภาคเหนือด้วยซ้ำ อาทิตย์ยามเช้าส่องให้เห็นทิวเขาด้านหลังรีสอร์ท แสงเรืองรองสีส้มอ่อนกำลังจะสว่างขึ้นเติมความสดใสให้กับวันใหม่อีกครั้ง
บริเวณท่าเรือของรีสอร์ท
การที่รีสอร์ทตั้งอยู่ที่ปลายสุดของพื้นที่ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง การตกแต่งสถานที่มีความกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ ถือเป็นอีกครั้งที่การพักผ่อนของเราเต็มไปด้วยความประทับใจ ด้วยทั้งเรื่องราวของสถานที่ที่ได้รับฟัง หรือจะเป็นเรื่องความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
ใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนอยู่ละก็ ลองพิจารณาอีกหนึ่งสถานที่แนะนำจากเรากับ ปูละคอน ไพรเวท บีช รีสอร์ท เป็นหนึ่งในตัวเลือกนะครับ
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทางรีวิวนี้
หรือในแฟนเพจของเราก็ได้ครับ http://www.facebook.com/SOtravelerDOTcom
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านรีวิวจนจบครับ ^.^
มาแบบคู่ 2 คน 1 คืน 2 วัน ค่าที่พัก ค่าไปถ้า ล่องเรือ จะอยู่ที่ประมาณราคาเท่าไหร่คะ