หลวงพระบาง เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายคนพูดตรงกันว่า “ไปแล้วไปอีก ไปกี่รอบก็ได้ไม่มีเบื่อ” และไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องกลับมาเที่ยวที่นี่หลายครั้ง แต่เพราะ “หลวงพระบางไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากกลับมาสัมผัสและใช้ชีวิตในแบบดั้งเดิมที่หลวงพระบางเป็น” เมืองที่มีความสงบ ผู้คนน่ารัก ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา มีสายน้ำพาดผ่านตัวเมือง
ก่อนที่จะบินข้ามไปยังเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว เรามาศึกษาข้อมูลของท้องถิ่นกันสักเล็กน้อย
1.เรื่องเงินๆ ทองๆ จับจ่ายใช้สอย
เรื่องเงินของประเทศลาว ประเทศนี้ใช้เงินสกุลเงินกีบ (LAK: Lao KIP) เป็นหลัก ไม่มีเหรียญให้เอาไว้เล่นเสี่ยงทายกัน แบงค์ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน 500,1000,2000,5000,10000,20000,50000 และ 100000 กีบ
และเงินบาทไทย ก็สามารถใช้ได้เช่นกันครับ ถ้าคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนแล้วอาจจะแพงกว่าการจ่ายเป็นกีบนิดหน่อย ถ้าซื้อของไม่เยอะเอาแบบสะดวกใช้จ่าย เราแลกแบงค์ยี่สิบไทยไปจ่ายง่ายดี ส่วนใครที่อยากจะอินกับการใช้จ่ายเงินกีบในท้องที่
วิธีการคำนวณคร่าวๆ ประมาณนี้ครับ
“ตัดศูนย์ออก 3 ตัว แล้วคูณ 4” = ราคาเงินบาทไทย
ดังนั้นเราจะเห็นภาพราคาแบงค์เงินกีบง่ายขึ้น
-1,000 กีบ = 4 บาท
-2,000 กีบ = 8 บาท
-5,000 กีบ= 20 บาท
-10,000 กีบ= 40 บาท
-20,000 กีบ= 80 บาท
-50,000 กีบ= 200 บาท
-100,000 กีบ= 400 บาท
2.สภาพอากาศ และฤดูกาล เที่ยวหลวงพระบาง เดือนไหนดี
หลวงพระบางมีอากาศคล้ายบ้านเรา แต่ปริมาณฝนจะน้อยกว่าเนื่องจากเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง มี 3 ฤดูได้แก่
หนาว : เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ หนาวสุดอยู่ในช่วงต้นเดือนมกราคม เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวหลวงพระบางมากที่สุด
ร้อน : เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปถึงต้นเดือนพฤษภาคม
ฝน : เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนกันยายน
3.ภาษา หลวงพระบางกับภาษาอังกฤษ
ประเทศลาวและประเทศไทยเราเองเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ภาษาใกล้เคียงกันมาก แต่ก็จะกินใจและลึกซึ้งมากกว่าหากเราใช้คำท้องถิ่นของเค้า คำที่ควรรู้และเอาไปใช้ให้เกิดความใกล้ชิดกันเบื้องต้นก็เช่น สวัสดีคำทักทายให้พูดว่า “สบายดี” คำว่าลาก่อน ให้พูดคำว่า “โชคดี” คำพูดขอบคุณ ให้พูดว่า “ขอบใจ๋” หรือขอบคุณมากๆก็พูดว่า “ขอบใจ๋หลายหลาย”
สบายดี – หลวงพระบาง
ทริปนี้วางไว้แบบพอดี 3 วัน 2 คืน เหมาะสำหรับคนที่อยากท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านแบบไม่ต้องเตรียมข้อมูลอะไรมาก คอนเซ็ปต์ “พักผ่อนสบาย ๆ ได้สัมผัสกับหลวงพระบางอย่างครบอรรถรส” อย่างที่เราได้เกริ่นไว้ว่าเราจะชวนทุกคนมาเที่ยวหลวงพระบางสไตล์บูทีค
การเดินทาง
การไปหลวงพระบางของ SOtraveler.com ครั้งนี้เราเดินทางด้วยสายการบินฟูลเซอร์วิส บางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) ซึ่งเป็นสายการบินที่รวมการบริการทุกอย่างไว้ครบถ้วนในราคาตั๋วที่ซื้อ พร้อมโหลดกระเป๋าฟรีอีก 20 กก. มีห้องรับรองก่อนเดินทาง เลือกที่นั่งฟรี มีอาหารเสิร์ฟทุกไฟลท์อีกด้วย
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จะขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์จะอยู่ที่ Row F นะครับ
หนึ่งในข้อดีที่ SOtravler และใครอีกหลายคนเลือกที่จะบินกับสายการบิน Bangkok Airways คือ การมี “บูทีคเลาจน์” ระหว่างรอขึ้นเครื่องให้กับผู้โดยสารทุกคน ซึ่งภายในบูทีคเลาจน์ ก็มีของว่าง เครื่องดื่ม ชา กาแฟ ซอฟดริ้งก์ มีบริการ Free – Wifi สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยชั้นธุรกิจก็จะมี “บลูริบบอน คลับเลาจน์” ซึ่งเป็นห้องรับรองแยกต่างหาก บริการที่เพิ่มมาจากบูทีคเลานจ์คือ มีเมนูจานร้อน มีห้องอาบน้ำ เก้าอี้นวด เป็นต้น
ครั้งนี้เรามาใช้บริการที่ บลูริบบอน คลับเลาจน์ ครับ และเนื่องจากเป็นการบินระหว่างประเทศจะใช้บริการที่อาคารผู้โดยสาร D ชั้น 3 (ตรงข้ามกับประตูขึ้นเครื่องหมายเลข D7)
แสดงตั๋วเพื่อยืนยันสิทธิ์การเข้าใช้เลาจน์ พนักงานก็จะให้รหัส Wi-Fi มาด้วย เมื่อเดินเข้าไปในเลาจน์ ไลน์อาหารจะอยู่ทางด้านขวามือ มีอาหารว่างและขนมให้ทาน
เมื่อเลือกที่นั่งได้เรียบร้อย พนักงานจะให้เลือกเมนูร้อนวันนี้มีให้เลือก 2 เมนูคือ เกี้ยวกุ้งและข้าวต้ม บะกุ๊ดเต๋ เราเลือกเป็นเกี้ยวกุ้ง
นั่งเพลินๆไปสักพักก็ได้เวลาเดินทาง เราออกเดินทางไปหลวงพระบางด้วยเที่ยวบิน PG 941
รายละเอียดข้อมูลการบินครั้งนี้
– เครื่องบินใบพัดรุ่น ATR-72
– Gate Departure : 09:50AM +07 Landing : 11:54AM +07
– รวมเวลาบินทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 21 นาที
เมื่อเดินทางถึงสนามบินหลวงพระบาง เราก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองลาว และรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยเพื่อเดินทางไปโรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง ที่พักในครั้งนี้ของเรา
ป้ายด้านหน้าโรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง เป็นป้ายไม้เก่าติดตัวหนังสือสีทอง สะท้อนความเป็นโรงแรมหรูที่กลมกลืนอยู่ในพื้นที่มรดกโลก
เมื่อมีแขกใหม่เข้าพัก จะมีพนักงานเคาะฆ้องต้อนรับ
บรรยากาศบริเวณล็อปบี้เป็นล๊อปบี้แบบเปิด โดยปรับใช้ใต้ถุนบ้านไม้มาเป็นล๊อปบี้ แค่จุดต้อนรับของโรงแรมคุณก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน
ยื่นเอกสารพาสปอร์ตเพื่อทำการเช็คอินตามปกติ พนักงานนำ Welcome Drink มาเสิร์ฟในขันเงิน ขันทอง ดื่มแล้วเย็นชื่นใจ
เรือนไม้ที่อยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรม มีทั้งหมดสามหลัง หลังแรกคือล็อปบี้ที่ทุกคนได้เห็นไปแล้ว ส่วนหลังที่สองเป็นห้องประชุมขนาดเล็กและด้านล่างมีครัวสำหรับสอนทำอาหาร ใครอยากลองเรียนทำอาหารลาว ลองสอบถามทางโรงแรมดูน่าสนใจมากทีเดียว
ส่วนหลังที่สามคือ Le SPA เป็นสปาที่บูทีคมาก แนะนำให้ลองนวดลาว ใครสนใจอ่าน รีวิวประสบการณ์การนวดลาวที่ Le SPA, Sofitel Luang Prabang อย่าลืมตามไปอ่านหลังจากอ่านรีวิวนี้จบ
ถัดจากบริเวณด้านหน้าโรงแรมก็จะมีทางเดินเข้าไปสู่ส่วนที่เป็นห้องพัก แยกบริเวณเป็นสัดส่วนเสมือนแบ่งการแบ่งคุ้มวังในอดีต
ป้ายบอกทาง ทำไว้ได้สวยเข้ากันกับป้ายโรงแรมด้านหน้า เราชอบมุมนี้มากๆ และเชื่อว่าใครเดินผ่านต่างก็ต้องยกกล้องมาถ่าย
โรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง ในอดีตเป็นบ้านพักของข้าหลวงชาวฝรั่งเศสในปี 1900 ทั้งโรงแรมมีเพียง 25 ห้องพักและเป็นห้องสวีททั้งหมด
และโซฟิเทล หลวงพระบาง ก็ดูจะเป็นโรงแรมแบรนด์โซฟิเทลที่มีห้องพักน้อยที่สุดในโลก แค่ทราบข้อมูลแค่นี้ก็ทำให้เราบรรจุโซฟิเทล หลวงพระบางเป็นหนึ่งในโรงแรมที่เราจะต้องมาเยือนอย่างไม่ลังเลใจ
ตามมาดูห้องพักเลยดีกว่า เราพักที่ห้องพักหมายเลข 17 อยู่ติดสระว่ายน้ำเลย
เมื่อเข้ามาที่ห้องพัก ทางโรงแรมก็จัดวาง Welcome Amenity ที่เป็นผลไม้และขนมพื้นบ้าน พร้อมการ์ดต้อนรับ คะแนน FeelWelcome เราให้เต็มครับ ณ โมเมนต์นี้ ทำได้ดีตามที่แบรนด์ Accor ได้วางสโลแกนไว้
ห้องพักมีจุดให้เราต้องร้องอุทานร้อง ว้าวววว! หลายจุดมาก อันดับแรกคือห้องพักมีความกว้างมาก และมีเพดานที่สูงมากเช่นกัน สูงจากพื้นเกือบ 5 เมตร ในห้องเป็นเตียงคิงไซส์ตกแต่งด้วยผ้าไหมและงานศิลปกรรมของพื้นบ้านลาว
มีอ่างอาบน้ำตั้งอยู่ในห้อง พร้อมกับฝักบัวเรนชาวเวอร์ น้ำที่นี่ไหลแรงได้ใจมาก
ด้านหลังของห้องพักยังมีประตูเปิดออกไปเป็น สวนส่วนตัวที่มีซุ้มศาลากาซีโบ ที่มีอ่างอาบน้ำตั้งอยู่ด้านนอกอีกหนึ่งอ่าง
เตียงโครงไม้สร้างบรรยากาศการพักผ่อนในตอนกลางคืนได้โรแมนติกดี
ถ้าช่วงฤดูร้อน ก็ถือว่าได้แช่น้ำเย็นสบาย แต่ถ้าฤดูหนาวเปิดน้ำอุ่นแช่ตัวก็รู้สึกดีมากทีเดียว
กาซีโบ ศาลาในสวนส่วนตัวบริเวณด้านหลังห้องพัก ทำให้เราอยากยืดขยายเวลาเข้าพักให้นานกว่านี้ อยากจะนอนแช่อ่าง จิบอะไรไปเพลินๆ ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบสูดอากาศบริสุทธิ์จากหลวงพระบางให้เต็มปอด
เราเปิดน้ำไว้เต็มอ่างแล้วก็แช่ทันทีทันใดที่ไปถึง พร้อมกับขอเปิดเพลงคลอเบาๆ
และนั่นสินะ มันต้องมีเครื่องดื่มสักเล็กน้อยสิ ในห้องพักมีเครื่องชงกาแฟและชาต่างๆให้เลือกชงด้วยล่ะ จัดมาจิบตอนแช่น้ำสักหน่อยสิ
เป็นการมาเปลี่ยนบรรยากาศที่หลวงพระบาง แต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ครบครัน อย่างที่เกริ่นไว้ว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก มาพักผ่อนให้เต็มที่
พักผ่อน นอนเล่นในห้องไปสักพักก็ได้เวลาที่เราจะเดินสำรวจบริเวณโดยรอบของโรงแรมและเรามีนัดหมายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงแรมเอาไว้บริเวณล็อปบี้ด้วย
โซฟาต้อนรับบริเวณล็อปบี้ ตกแต่งด้วยหมอนผ้าไหมลาว
ลานหญ้าบริเวณด้านหน้าสปา
บรรยากาศบริเวณห้องพักอีกโซนหนึ่งที่ไม่ได้ติดสระว่ายน้ำ มีความเป็นส่วนตัวสูง
ทางเดินจากบริเวณห้องพักตรงไปยังห้องอาหาร GOVERNOR’S GRILL ห้องอาหารรูปแบบเต้นท์ เปิดโล่งรับบรรยากาศสวนสีเขียวเป็นห้องอาหารหลักของโรงแรม ให้บริการทั้งอาหารเช้า กลางวันและมื้อค่ำ
ไฮไลท์เมนูเด็ดของที่นี่หากมาเยือนก็ต้องลองเมนูเนื้อกระบือ ซึ่งประเทศลาวจะนิยมทานเนื้อกระบือมากกว่าเนื้อวัว ถ้าถามคนพื้นที่เค้าก็ว่าเนื้อวัวจะมีกลิ่นสาปมากกว่าเนื้อกระบือเสียด้วยซ้ำ
ส่วนตรงนี้คือเรนชาวเวอร์สำหรับล้างตัวก่อนลงสระว่ายน้ำ
และนี่คือสระว่ายน้ำของโรงแรม อยู่ติดกับสวนได้ความสดชื่น แต่ถ้าหากมาเที่ยวฤดูหนาวก็อาจจะไม่ค่อยอยากลงสักเท่าไหร่
รอบๆสระว่ายน้ำมีทั้งเตียงผ้าใบและเตียงหมอนสามเหลี่ยมให้เลือกนอนเล่น หยิบหนังสือติดมือมาสักเล่ม นอนอ่านใต้ต้นไม้ลมพัดเย็นๆ นี่แหล่ะใช่เลย
บริเวณทางเดินสำหรับไปบริเวณคุ้มต้อนรับ
ด้านหน้าห้องพักแต่ละห้องจะมีเก้าอี้ให้นั่งเล่นทุกห้อง
ถึงแม้โรงแรมจะมีขนาดเล็ก แต่ฟิตเนสก็มีอุปกรณ์ครบและถือว่าเยอะมากสำหรับโรงแรมขนาด 25 ห้องพัก เรียกว่า Private Fitness ยังได้เลย
ใครที่กลัวกว่าการออกกำลังกายด้วยการเดินสูดบรรยากาศของหลวงพระบางยังไม่เพียงพอ ก็มาออกกำลังต่อที่ฟิตเนสของโรงแรม
เครื่องวิ่งมีถึงสองเครื่อง
เดินเตร่สำรวจโรงแรมกันพอหอมปากหอมคอ เราก็เริ่มเห็นการตระเตรียมข้าวของสำหรับการทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งทางโรงแรมจะจัดขึ้นในวันมงคลและวันหยุดพิเศษต่างๆ ให้กับแขกที่พักที่โรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง และโรงแรม3นากา เอ็มแกลเลอรี่ บาย โซฟิเทล ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้ทีมบริหารจัดการทีมเดียวกัน
คนที่มาทำพิธีก็คือผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ รวมไปถึงผู้ใหญ่บ้านเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นดี มีการสวดทำพิธีและเล่าที่ไปที่มาของพิธีบายศรีสู่ขวัญ ด้วยความเชื่อที่ว่า ทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิ่งนามธรรมอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า “ขวัญ” ที่มีหน้าที่รักษาประคับประคองชีวิตและติดตามเจ้าของไปทุกหนแห่ง การทำพิธีสู่ขวัญจึงเป็นการเชิญขวัญที่หนีหายไปให้เข้ามาอยู่กับตัว และเชื่อว่าเป็นการส่งเสริมพลังใจให้เข้มแข็ง มีสติและไม่ประมาท
หลังจากสวดเรียกขวัญกันเสร็จเรียบร้อย ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะมาผูกด้ายสายสิญจน์ให้กับผู้ที่เข้าร่วมพิธี เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นมาก ในขณะที่ผูกผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะอวยพรให้เราไปด้วย
หลังจากผูกข้อมือกันเสร็จ ก็จะแบ่งขนมที่อยู่ในขันโตกบายศรี แบ่งๆกันทานซึ่งถือว่าเป็นขนมมงคลในพิธี ร่วมกันทานก็จะแบ่งกันรับสิ่งดีดี
โรงแรมโซฟิเทลหลวงพระบางกับโรงแรม3นากาเป็นโรงแรมที่บริหารร่วมกันแต่คนละแบรนด์เพื่อเป็นตัวเลือกและรองรับความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ดังนั้นทางโรงแรมก็จะมีบริการรถรับส่งระหว่างโซฟิเทลกับ3นากา เนื่องจาก 3นากา เป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในเมืองจึงเหมือนเป็นจุดนัดหมายและจุดเริ่มต้นของการออกสำรวจหลวงพระบางไปในตัว
วันแรกเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วบรรยากาศยามเย็นที่โรงแรมโซฟิเทล หลวงพระบาง สงบและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
พอตกค่ำเรามีแผนที่จะไปเปลี่ยนบรรยากาศด้านนอกโรงแรมกันสักหน่อย ที่โรงแรมมีแจกแผนที่ Explore Luang Prabang เอาไว้ด้วย ทำให้เห็นภาพของเมืองหลวงพระบางได้อย่างชัดเจน และเมื่ออยู่ไปสักสองวันเราจะเริ่มเข้าใจในคำพูดของคนท้องที่ ที่ได้แนะนำหลวงพระบางให้เราคร่าวๆพร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า หลวงพระบางเป็นเมืองเล็กๆ ที่เราจะพบเจอหน้าค่าตากันมากกว่าหนึ่งครั้ง
ด้านในเป็นแผนที่แบบนี้สามารถใช้อ้างอิงเพื่อวางแผนเส้นทางเดินเที่ยวกันได้เลยครับ
มื้อเย็นที่โรงแรม3นากา คึกคักมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติ ยิ่งดึกคนก็ยิ่งเริ่มเดินเข้ามาทานอาหารกันที่โรงแรมมากยิ่งขึ้น จนเต็มทุกโต๊ะ ดูเป็นบรรยากาศที่แปลกดีปกติเราจะเห็นภาพของการขับรถไปแวะทานอาหารตามร้านต่างๆ แต่ที่หลวงพระบาง ใช้การเดินลัดเลาะถนนไปแล้วก็ส่องดูบรรยากาศของร้านและหน้าตาเมนูอาหารก็เดินเข้ามานั่ง เหมือนว่าเป็นถนนคนเดินได้ทั้งเมือง
อาหารที่3นากา มีให้เลือกหลากหลายเมนู และเมนูเด็ดอย่างเนื้อกระบือก็มีให้เลือกชิมหลากหลายวิธีปรุงแล้วแต่ชอบ ดริ้งก์ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
หลายเมนู มีความคล้ายกับอาหารเวียดนาม ด้วยความสงสัยเราจึงถามพนักงานที่นั่น จึงได้ข้อมูลมาว่าเมืองหลวงพระบางมีวัฒนธรรมอาหารใกล้กับอาหารเวียดนามจริงๆ โดยเฉพาะเมนูโรลต่างๆ ส่วนมากก็จะเป็นเมนูเวทเจททาเรียนฟู้ด ซึ่งดีต่อสุขภาพดี
เมนูขนมหวานที่นี่มีไฮศกรีมหลายรสให้เลือกชิมและเสิร์ฟได้หลากหลายรูปแบบด้วย
ก่อนที่จะกลับโรงแรม เรามีหนึ่งบาร์แนะนำจากเจ้าถิ่นที่ได้ฉายาว่า The Best Cocktail in Luang Prabang ได้ยินอย่างนั้นเราต้องไปลองจิบๆ สักแก้ว ตามคำบอกเล่าของเจ้าถิ่นเค้าบอกว่า วันไหนที่เค้าคิดอะไรไม่ออกหรือเพลียๆจากการทำงานมานั่งดริ้งก์ที่นี่แล้วรู้สึกมันสดชื่นถึงใจดีจริง
525 Cocktails & Tapas, Luang Prabang, Laos
จริงอยู่…มาเที่ยวลาวก็ต้องยกซดเบียร์ลาว แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบซดเบียร์อย่างเราก็เลือกที่จะหาดริ้งค์ดีๆ ไว้สลับสับเปลี่ยนกับบาร์ที่โรงแรม เรามีโอกาสได้ไปลองชิมค็อกเทลที่ร้าน 525 Cocktails & Tapas ซึ่งก็อยู่ในโซนตัวเมืองหลวงพระบางนี่แหล่ะ 525 มีที่มาจากเวลาช่วงเลิกงานที่เวลาประมาณ 5 โมงเย็น 25 นาที ก็จะเป็นเวลาที่เค้าจะชวนเพื่อนๆไปดื่มกัน อ๊ะ! 5.25 pm แล้วพวกเราไปจัดกันหน่อย จนเค้าเอามาตั้งเป็นชื่อร้าน
เรามีเวลาไม่มากนัก เลยเลือกดื่มเมนูโปรดอย่างเช่น Negroni ซึ่งเค้าทำออกมาได้หอมละมุนคอมากจริงๆ เริ่มง่วงๆอยากกลับไปนอนพักที่โรงแรมเลยจิบเพียงหนึ่งแก้วเพื่อทำความรู้จักกันสั้นๆ ก่อน
ส่วนแก้วนี้เป็นของพี่ที่เดินทางมาด้วยกัน ยังไม่ได้ถามไถ่รสชาติ แต่ดูจากหน้าตาขณะที่จิบก็ดูพึงพอใจ โดยรวมทั้งบรรยากาศและรสชาติดริ้งก์ที่เราได้ชิมถือว่าผ่านเกณฑ์ SoTraveler ที่จะหยิบมากล่าวเป็นหนึ่งในร้านแนะนำ
หลังจากนั้นเราก็กลับมานอนพักสบายๆที่เตียงนุ่มๆ ของเรา ตื่นมาพร้อมกับการได้สูดอากาศสดชื่นๆยามเช้า
ออกกำลังกายเดินยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยเราก็มาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร GOVERNOR’S GRILL ด้วยจำนวนห้องพักที่ไม่ได้เยอะมาก การเสิร์ฟอาหารแบบ Cooked to Order ดูจะเหมาะสมที่สุดในไลน์อาหารมีขนมปัง สลัด โยเกิร์ต และก็ยังมีไส้กรอก เบคอน มะเขือเทศกริลล์ และมันฝรั่ง ถือว่าครบนะ
อ้อ ออมเล็ตชีสที่ GOVERNOR’S GRILL อร่อยดี ถ้าจากเมนูน่าจะเป็น Signature Omelette แนะนำให้ลอง
สายๆ ก็ได้เวลาปั่นจักรยานเที่ยวในตัวเมืองหลวงพระบาง บางคนอาจจะอยากไปหาร้านกาแฟ เที่ยวชมวัดซึ่งก็พบได้ตามเส้นทางรีวิวจากหลายๆ แหล่ง เราก็จะบอกว่าไม่ยากเลย แค่มีจักรยานเราก็เก็บได้ครบ แต่ก็เหนื่อยนะ ถ้าอยากมาแบบสโลว์ไลฟ์อีกหนึ่งรสชาติก็ต้องตามมาดูพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่มีชีวิต “เฮือนจันทร์ เฮอริเทจ”
Heuan Chan Heritage Luang Prabang
บ้านไม้ทรงลาวดั้งเดิม ได้รับการปลุกขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆได้เข้ามาเยี่ยมชมกันอีกครั้ง ที่นี่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่มีชีวิต แสดงสถาปัตยกรรม และสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชาวลาว การก้าวเข้ามาในเขตรั้วของ “เฮือนจันทร์ เฮอริเทจ” เราจะได้เรียนรู้และรู้จักกับวิถีชีวิตพื้นบ้านของชาวลาว ผ่านการถ่ายทอดของคนท้องถิ่น มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่าชาวลาว มาเล่ามาสอนการจักสานของเล่นพื้นบ้าน และเราก็สามารถลองทำด้วยตัวเองได้ด้วย หากสนใจ
เราเห็นมีครัวทำกับข้าวด้วย น่าจะมีจำหน่ายอาหารเช่นกัน
ใครอยากลองทำกระดาษสาด้วยตัวเอง ทำได้เลยนะ ถ้านั่งเล่นนานหน่อย เผลอๆ กระดาษสาแห้งพอที่จะม้วนเก็บไปเป็นของที่ระลึกที่ทำด้วยมือตัวเองได้อีกด้วย
และที่นี่ยังมีบริการให้เช่าชุดทั้งผู้ชาย ผู้หญิง หลายคนก็สนุกกับการแต่งเป็นแม่หญิงและผู้บ่าวลาว ชุดของผู้ชายก็ดูจะคล้ายกับชุดพี่หมื่นในตัวละครบุพเพสันนิวาสอยู่เหมือนกัน
เราอยากลองทำเองดูบ้างเหมือนจะง่าย แต่ลงมือทำจริงกว่าจะเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างก็เกือบครึ่งชั่วโมงเลยนะ
มีโอกาสก็อยากให้แวะมาสัมผัสกับพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่มีชีวิต “เฮือนจันทร์ เฮอริเทจ” กันดูใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงทั้งถ่ายรูป นั่งเล่นไปกับกิจกรรมต่างๆ
หลังจากนั้นเราก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม แช่อ่างกันสบายใจ ตอนเย็นมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่อยู่ในเกณฑ์จุดหมายที่น่าแนะนำของ SoTraveler.com เช่นกันนั่นคือการ ล่องเรือไปตามแม่น้ำโขง จิบแชมเปญพร้อมกับดินเนอร์ 3 คอร์ส หลายคนคงเห็นภาพพระอาทิตย์ตกจากยอดพูสีกันมาเยอะแล้ว เราอยากให้มาลองดูมุมใหม่ๆกันบ้าง ทุกอย่างลงตัวมากทั้งอาหารและบรรยากาศ
New Experiences Cruise the Mekong
เมื่อขึ้นมาบนเรือ มีพนักงานยิ้มต้อนรับสามคน คนแรกบีบน้ำยาล้างมือ คนที่สองเสิร์ฟผ้าเย็นและ คนที่สามเสิร์ฟ Welcome Drink เราคิดถึงถึงว่าบนเรือจะมีการต้อนรับเรียงขบวนพร้อมเพรียงขนาดนี้ Welcome Drink ที่เสิร์ฟมีส่วนผสมตามที่สัมผัสได้ก็มีผิวมะกรูด มะนาวและมีกลิ่นตะไคร้ รสชาติฝาดอมเปรี้ยวกลิ่นหอมและมีรสหวานตบท้ายเล็กน้อย กระตุ้นความสดชื่นและช่วยให้ตื่นลดอาการเมาเรือ สำหรับเราแล้วเป็นดริ้งก์ที่อร่อยจน ขอมา Welcome กันไปทั้งหมด 3 แก้ว เนื่องจากบนเรือได้เสิร์ฟไวน์และดริงก์ต่างๆ อยู่แล้ว
ตอนที่เราออกเรือ ท้องฟ้าจะยังสว่างอยู่ เห็นวิถีชีวิตริมน้ำโขงของชาวลาว เรือแม่โขง คิงดอม ลอยลำไปเรื่อยๆ สองฟากฝั่งที่เรือล่องไปต่างก็มีความน่าสนใจอยู่ตลอดทาง
เปลี่ยนบรรยากาศมาทางหัวเรือบ้าง แสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง เป็นสัญญาณว่ากำลังจะลับของฟ้าแล้ว สะท้อนแสงกับผิวน้ำโขงก็ยิ่งสวย เป็นภาพที่น่าประทับใจและเต็มอิ่มยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อในมือเรามีแชมเปญรสชาติดีจิบเคล้าบรรยากาศไปด้วย
เมื่อเรือได้ล่องไปสักระยะ เจ้าหน้าที่บนเรือก็ได้แจ้งให้ทุกคนนั่งประจำที่ในบริเวณที่จัดไว้สำหรับเสิร์ฟอาหาร จะค่อนไปทางท้ายเรือ เป็นเมนู 3 คอร์สที่เราก็ไม่คิดว่าจะได้มาทานเมนูแบบนี้ที่หลวงพระบางเช่นกัน
จานแรกเป็น Appetizer ที่มีวัตถุดิบหลักเป็นหอยเชลล์ เสิร์ฟพร้อมสลัดผลไม้แตงโม แก้วมังกรและต้นทานตะวันอ่อน ด้านล่างเป็นซอสซีฟู้ดที่มีความเผ็ดคล้ายว่ามีส่วนผสมของซอสพริกศรีราชา ทานพร้อมกันแล้วอร่อยลงตัว เรียกน้ำย่อยได้ดีมาก
จานต่อมาเป็นเมนูหลัก Main Course เป็นเนื้อวัวตุ๋นเสิร์ฟพร้อมมันฝรั่ง เปื่อยนุ่มอร่อยเทียบเท่ากับเมนูไฟน์ไดนิ่งในร้านอาหารหรู
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน Dessert ที่เสิร์ฟวุ้นอัญชัญ พร้อมกับชอสเสาวรส คุ้กกี้ ช็อกโกแล็ตและกลีบดอกอัญชัญ ทั้งจานประกอบด้วยรสหวานเปรี้ยวและขมเข้มจากรสชาติช็อคโกแล็ต เป็นเมนูของหวานที่คาดไม่ถึงว่าเราได้ทานจากหลวงพระบางเช่นเดียวกัน
ทั้งสามคอร์สเป็นเมนูที่เกินความคาดหมายของเรามาก เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองกัน ด้วยราคารวมทั้งหมดประมาณ $39 US ต่อคน ถ้าเทียบกับประสบการณ์ รสชาติอาหารแล้วเราถือว่าคุ้มค่ามาก
บรรยากาศด้านหน้าของเรือแม่โขง คิงดอม (Mekong Kingdoms)
พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ มีเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก บินผ่านมาด้วย ช่างเป็นบรรยากาศที่สุดแสนคลาสสิกมากจริงๆ เรายิ้มด้วยความอิ่มใจในบรรยากาศ
จนกระทั่ง เมื่อเรือกลับมาเทียบท่า พนักงานหยิบรองเท้าออกมาวางเรียงกัน แบบพร้อมสวม ดูน่ารักอดใจไม่ได้ที่จะเก็บภาพไว้
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมื้อค่ำที่น่าประทับใจ และแล้วเราก็ผ่านไปสองคืนอย่างรวดเร็ว จนมาถึงเช้าของวันที่สามวันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว เราเริ่มต้นวันด้วยการตักบาตรข้าวเหนียว
ตักบาตรข้าวเหนียว
เช้านี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม 3นากาดูบ้าง เมื่อตักบาตรข้าวเหนียวเสร็จก็พอมีเวลาเดินไปสำรวจตลาดเช้ากันอยู่พอสมควร หลังจากที่เดินตลาดเช้าสักพักเริ่มหิว กลับมาทานอาหารเช้ากันดีกว่า บรรยากาศการทานอาหารเช้าที่ 3นากาก็ดีไปอีกแบบ บรรยากาศก็จะมีความเป็นเมืองหน่อย เห็นผู้คนขับรถผ่านไปมาบนท้องถนน
เมนูอาหาร ไม่หลากหลายและเยอะเท่าที่โซฟิเทล แต่ก็ครบครันทั้งขนมปัง ผลไม้ น้ำผลไม้ และที่เราชอบก็เป็นเมนู Cooked to order นี่ล่ะ เพราะได้ทานอาหารปรุงใหม่เสิร์ฟร้อนๆ
หน้าตาของเมนู Egg Benedict รสชาติดีผมให้ผ่าน
ไข่เจียวออมเล็ตก็ผ่านเช่นกัน เนื้อนุ่มรสชาติอร่อย
และตบท้ายมื้อเช้าด้วยคาปูชิโน่ร้อนถือว่ามื้อเช้าที่โรงแรม 3นากา ได้มาตรฐานใช้ได้ทีเดียว
จากโรงแรม3นากา เราก็กลับมาเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ และก่อนเดินทางกลับเรามีโปรแกรมดีดีรอไว้อยู่ นั่นคือ
เราได้แยกบทความไปเขียนไว้ในหมวกของไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจสปาได้เข้าไปอ่านกันง่ายขึ้นจากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางกลับด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways)
บูทีคเลาจน์จะอยู่ชั้น 2 อาคารผู้โดยสารขาออก
ขนม เครื่องดื่มในเลาจน์จัดเต็มเหมือนเคยและข้าวต้มมัดก็ยังคงอร่อยเสมอ
ได้เวลาเดินทาง เราเดินทางกลับเที่ยวบิน PG 946
รายละเอียดข้อมูลการบิน
เครื่องบินใบพัดรุ่น ATR-72 (twin-turboprop)
Gate Departure : 05:07PM +07 Landing : 07:13PM +07
รวมเวลาบินทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 16 นาที
แสงสวยได้จังหวะในขณะที่เรากำลังบินขึ้น
ทริปนี้มันเหมือนกับว่าเราได้ไปชาร์ตแบตให้กับตัวเองจากความเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน เป็นทริปที่เติมความสุขได้ครบถ้วนทั้ง อาหาร สถานที่ต่างๆที่ได้ไป เราชอบการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการรักษาความดั้งเดิมของที่นี่ ทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติอย่างเต็มที่
ใครที่อยากได้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของทางโรงแรงแรมได้เลย www.sofitel-luangprabang.com
[…] + อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ […]