“โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มีห้องอาหารอยู่หลายห้องที่พร้อมจะสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารของเราให้แตกต่างจากการทานอาหารในรีสอร์ททั่ว ๆ ไป ตั้งแต่ห้องอาหารแบบออลเดย์ไดนิ่งไปจนถึงมื้อไพรเวทสุดเอ็กซ์คลูซีฟ แต่ละที่ก็จะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป มาติดตามประสบการณ์มื้ออาหารที่เราได้รับประทานในทริปนี้กันดีกว่า เริ่มจากห้องอาหารหลักที่ชื่อว่า
“มิฮิรี มิธา” (Mihiree Mitha)
ห้องอาหารที่เราใช้บริการบ่อยที่สุด มิฮิรี มิธา (Mihiree Mitha) ภาษาอังกฤษแปลว่า “here it is” ถ้าหากให้เราแปลความเป็นไทยก็จะบอกว่า “ที่นี่งัย” มีนัยยะว่า ที่นี่มีอาหารหลากหลายแบบที่คุณต้องการ เราจะเริ่มต้นมื้อเช้า เติมพลังมื้อกลางวัน และรีแล็กซ์กับมื้อดินเนอร์ได้ที่นี่ตลอดทั้งวัน บริการแบบบุฟเฟ่ต์
บรรยากาศของห้องอาหารจะอยู่ใต้ต้นไม้ริมชายหาด
เครื่องดื่มมีทั้งซอฟดริงก์ น้ำอินฟิวส์ และน้ำผลไม้สด อย่างเช่น น้ำมะพร้าว น้ำส้ม น้ำแตงโม น้ำส้มสดคือคั้นสดตามออร์เดอร์ สดชื่นแบบน้ำส้มคั้นสดเพียว ๆ ขนานแท้
ผลไม้มีให้เลือกทานหลากหลาย ลูกพลำสีดำที่เราเคยเห็นขายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตระดับไฮเอนด์ในเมืองไทยลูกละสี่ร้อยกว่าบาท แต่ที่นี่วางให้ทานเป็นตะกร้า หวานฉ่ำถูกใจเราอย่างที่สุด
ดีต่อสุขภาพและอลังการถูกใจคนชอบทานผักเพื่อสุขภาพ กับห้องปรุงสลัดที่มีผักสดจากสวนออร์แกนิกเรียงรายให้เลือกทานมากมาย พร้อมกับน้ำสลัดที่เลือกปรุงเองได้
ที่ห้องนี้ยังมีเนื้อปลาและชีสให้เลือกทานอีกด้วย
วัตถุดิบเครื่องปรุงสำหรับทำน้ำสลัดเยอะจนเราเลือกไม่ถูกเช่นกัน ใครที่ทำสลัดทานเองก็คงสนุกดี แต่สำหรับเราทานกับน้ำสลัดที่ปรุงสำเร็จแล้วดูจะลงตัวที่สุด
เดินเลือกหยิบแต่ละอย่าง ก็เพลินดี
เกลือหลากหลายแบบ
พริกหลายอย่างสำหรับใครที่อยากลอง
อาหารเช้ามีสเตชั่นไข่ ที่เราสามารถออร์เดอร์เมนูไข่ต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ ทั้งออมเล็ต ไข่ดาว ไข่เจียว เอ้กเบเนดิกต์ มีพนักงานคอยรับออร์เดอร์อยู่ที่สเตชั่น
ไส้กรอก เบคอน แฮม เมนูบาร์บิคิว
เมนูเส้นต่าง ๆ ก็มีให้เลือกทาน แม้กระทั่งเมนูก๋วยเตี๋ยว
กาแฟที่นี่ก็มีให้เลือกหลายแบบนะ มีกาแฟตะไคร้ กาแฟกลิ่นกล้วย อะไรแบบนี้ด้วย น่าจะมีการอินฟิวส์เข้าไปกลิ่นกาแฟตะไคร้คือมีกลิ่นตะไคร้อยู่จริง ๆ แล้วตอนเสิร์ฟก็มีตะไคร้ปักมาด้วย แปลกดีแนะนำให้ลองชิมกัน แต่ยังงัยเราก็ไม่ลืมคาปูชิโน่กาแฟแก้วโปรดมาทานเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว
เค้ก ขนมปัง และของหวานหลากหลายแบบ
ขนมปังจากครัวเบเกอรี่
บรรยากาศบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน คึกคักไม่แพ้กับมื้อเช้า มีสเตชั่นของพาสต้าและพิซซ่าเพิ่มเข้ามา
เมนูพาสต้ามีส่วนประกอบให้เลือกใส่เยอะมาก
ส่วนประกอบของสลัดที่ดูเหมือนจะเยอะในช่วงเช้า ช่วงกลางวันยิ่งเพิ่มเยอะยิ่งขึ้นไปอีก
เสิร์ฟในห้องแอร์ที่เปิดเย็นตลอดเวลา
ทานพร้อมกับดูวิวทะเลใต้ร่มไม้เย็น ๆ
สปาเก็ตตี้ที่เราเลือกเองว่าอยากใส่อะไรบ้าง
พิซซ่าแป้งบาง ทำใหม่ตามออร์เดอร์ และซีฟู้ดบาร์บิคิวที่สดมาก
อย่าลืมแวะมาที่ห้องช็อคโกแลต SO GUILTY “Chocolate Room” ด้วยนะที่มีช็อคโกแลตหลากหลายแบบให้เลือกทานกันฟรีเป็นคอมพลิเมนทารี่ แวะมาทานได้ทั้งวัน
สำหรับเด็ก ๆ กับช็อคโกแลตเป็นของคู่กันจริงแท้แน่นอน ส่วนผู้ใหญ่ก็ถูกใจกับห้องช็อคโกแลตนี้ไม่น่้อย เหมือนได้ย้อนความทรงจำกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง
ในห้องมีช็อกโลแลตให้เลือกทานหลายสิบรสมาก ทั้งรสชาติที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันและรสชาติแปลก ๆ อย่างรสพริก, รสส้ม และรสเสาวรส เป็นต้น
ห้องไอศกรีม SO COOL “Ice Cream Parlour” เป็นอีกหนึ่ีงห้องที่เราแวะเวียนมาบ่อย เพราะมีไอศกรีมโฮมเมดและซอร์เบตกว่า 60 รสชาติให้เลือกทาน และนี่เป็นอีกหนึ่งคอมพลิเมนทารี่ ที่เราสามารถแวะมาทานฟรีได้ตลอดทั้งวันเช่นเดียวกับช็อกโกแล็ต
รสชาติของไอศกรีมมีบอกไว้ด้านข้างตู้ เราชิมแล้วติดใจอยู่หลายรส โดยเฉพาะ Salty Caramel กับ Eva’s Cheese Cake นี่รสชาติโปรดมากที่สุดเลยล่ะ เป็น 2 รสชาติที่ต้องทานทุกครั้งที่แวะมาห้องไอศกรีมแห่งนี้
“เฟรช อิน เดอะ การ์เด้นท์” (Fresh in the Garden)
ห้องอาหารที่เปิดบริการเฉพาะมื้อค่ำ ที่นี่คุณต้องประทับใจกับธรรมชาติที่อยู่รายล้อมและท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับเต็มไปหมด กับการสร้างห้องอาหารให้ยกตัวสูงอยู่ในระดับเหนือยอดต้นไม้ ทำให้บรรยากาศคล้ายว่าเรากำลังทานอาหารอยู่บนบ้านต้นไม้
เมนูอาหารที่เฟรช อิน เดอะ การ์เด้นท์ จะเป็นสไตล์เมดิเตอเรเนียน มังสวิรัติ เน้นพืชผักออร์แกนิก ปลูกเอง สด สะอาด ปลอดภัย และดีต่อสุขภาพ
จากที่ได้ลิ้มรสเมนูที่เราสั่งมาทาน ในเรื่องของการจัดจานและสไตล์การเสิร์ฟยังคงความสวยงามแบบจานไฟน์ไดนิ่งที่โซเนวาทำได้ดีเยี่ยมยอดในทุก ๆ ที่ พนักงานที่นี่ก็ยังคงออกตัวว่า เราเน้นความเรียบง่ายและสดใหม่ของวัตถุดิบ ก็จริงอย่างที่เค้าบอก การปรุงอาจไม่ได้แต่งเติมวัตถุดิบที่ซับซ้อนอะไรมาก แต่เทคนิคการปรุงไม่ธรรมดาแน่นอน
จานนี้เป็น หอยเชลล์ย่างเสิร์ฟพร้อมฟักทองพูว์เร หอยเชลล์ฮอกไกโดย่างเนื้อนุ่มหวานกำลังดี เพิ่มเติมกลิ่นด้วยการอบควันแล้วเปิดฝาขึ้นหลังจากเสิร์ฟที่โต๊ะ กลิ่นควันหอมคลุ้งเพิ่มสัมผัสทางด้านกลิ่นให้กับเมนูอาหารได้ดีเลยล่ะ
ส่วนเมนูนี้เป็นซุปเห็ดทรัฟเฟิลที่เสิร์ฟคู่กับเห็ดทอดกรอบ วิธีรัปประทานก็จะกัดเห็ดทอดคำนึง ตักซุปเห็ดทรัฟเฟิลซดตามอย่างนี้สลับกันไป ซุปรสชาติดีเนื้อเนียนละมุนคอ
เมนูพาสต้าผัดกับมะเขือเทศ ชีสและกุ้งสด รสชาติตรงตัวคือหวานอมเปรี้ยวแต่เป็นเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ส่วนประกอบดูไม่ซับซ้อนแต่ผสมกันแล้วเข้ากันได้ดีมาก
“เอาท์ ออฟ เดอะ บลู” (Out of the Blue)
ห้องอาหารหรูกลางทะเล หรูในระดับที่จะมีเชฟชื่อดังระดับโลกและเชฟมิชลินสตาร์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันบินมาปรุงอาหารให้ทาน ณ ที่กลางทะเลมัลดีฟส์แห่งนี้
เอาท์ ออฟ เดอะ บลู เป็นอาคารไม้ 2 ชั้นยื่นออกไปกลางทะเล มีห้องอาหารให้เลือกทานทั้งหมด 5 แบบ ทั้งแบบพิเศษสุด ๆ อย่าง “So Hand’s On” ห้องอาหารที่เป็นเคาร์เตอร์ชูชิสำหรับ 5 ที่นั่ง ที่จะมีเชฟซูชิที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็นเชฟรับเชิญ “So Bespoke” ห้องอาหารแบบโต๊ะเทปันยากิขนาด 8 ที่นั่ง “Once Upon a Table” ห้องอาหารโต๊ะรูปทรงเกือกม้าจำนวน 8 ที่นั่ง มีเชฟมิชลิน สตาร์ และเชฟชื่อดังระดับโลกมาสร้างประสบการณ์การทานอาหารให้ทานกันอย่างใกล้ชิดแบบเป็นส่วนตัว
เอาท์ ออฟ เดอะ บลู เป็นอีกหนึ่งจุดพักผ่อนที่ทุกคนสามารถมานั่งชิลได้ตลอดทั้งวัน บรรยากาศในช่วงเช้าทุกคนจะได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศสีน้ำเงินจากท้องฟ้าและน้ำทะเลที่อยู่รอบตัว จนพูดได้ว่าที่นี่คือแหล่งรวมโทนสีน้ำเงินทุกเฉดสี
ส่วนบรรยากาศยามเย็นก็ดูจะอบอุ่นและโรแมนติกจากแสงสีส้มทองของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า เราชอบช่วงเย็นมากที่สุด
บรรยากาศยามเย็นช่างแสนโรแมนติก ความอบอุ่นจากแสงไฟสีส้มทองของ Out of the Blue ถูกเปิดขึ้นมาทดแทนแสงจากพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ อ่อนแสงลง พร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องแสงนวล ๆ สะท้อนผิวน้ำทะเล
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวระยิบระยับที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นดวงดาวบนท้องฟ้าจำนวนมากขนาดนี้ได้ในชีวิตประจำวันกลางเมืองมหานคร เราต่างประทับใจกับดวงดาวและพระจันทร์ดวงโตที่ได้เห็นในทุกค่ำคืนที่อยู่ที่นี่
เล่าถึงเอาท์ ออฟ เดอะ บลู มาพอสมควร เพราะนี่เป็นไฮไลท์ที่ทุกคนต้องชอบ ต้องมา และต้องหลงรักที่นี่อย่างที่เราหลงรัก หากมีโอกาสมาพักที่นี่
เราแวะมาทานอาหารเย็นที่นี่หนึ่งมื้อ เป็นส่วนของห้องอาหารหลัก เมนูอาหารจากที่เราได้เปิดเมนูดูคร่าว ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเอเชียอย่างเช่นอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน มีแม้กระทั่งอาหารไทย และมีเมนูอาหารนานาชาติให้เลือกทานเช่นกัน
หลังจากที่เราได้สัมผัสและลิ้มรสแต่ละเมนูก็พบว่า เมนูที่นี่ไม่ธรรมดา ทั้งหน้าตาอาหารและสไตล์การปรุงเป็นแบบโมเดิร์นทำออกมาได้ดีมาก
เริ่มต้นกันเบา ๆ กับเมนูเรียกน้ำย่อยที่รสชาติเปรี้ยว เค็ม ตัดกับความหวานของเนื้อปลา เพียงยกมาเสิร์ฟก็กระตุ้นต่อมน้ำลายได้ดี พอได้ทานแล้วยิ่งติดใจทานหมดอย่างรวดเร็ว
ตามด้วย ชูชิโรล เพื่อลองชิมฝีมือการทำซูชิของเชฟท่ีนี่ ทำออกมาได้ดีเลิศตามที่คิดไว้ไม่มีผิด
ปูนิ่ม เทมปุระ กรอบนอกนุ่มในมากทีเดียวกับเมนูนี้ ปูนิ่มเนื้อเยอะมาก กัดลงไปแล้วสัมผัสได้ถึงเนื้อปูหวานอร่อยที่อยู่ข้างใน หากไปทานตามร้านทั่วไปมักจะเจอปูนิ่มที่เนื้อน้อยหรือไซส์เล็กจนทานแล้วรู้สึกเหมือนทานแต่เปลือกอ่อนของปูนิ่ม ซอสเท็มปุระที่ให้มารสชาติเค็มหวานตามแบบฉบับเมนูเท็มปุระ ในเรื่องของเทคนิคการทอดที่ไม่อมน้ำมันแถมยังกรอบนอกนุ่มใน ขอยกรางวัลเยี่ยมยอดให้เลยอย่างไม่ลังเลใจ
หมูสามชั้นตุ๋นที่เสิร์ฟมาในจานร้อนพร้อมเห็ดเข็มทองและเห็ดหอม เนื้อหมูนุ่มมาก รสชาติซอสซึมเข้าไปถึงเนื้อด้านใน หมูสามชั้นรสเข้มข้นค่อนไปทางเค็มทานพร้อมเห็ดและเครื่องเคียงแล้วลงตัวกันพอดี เมนูนี้เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยอีกด้วย
อยู่ใจกลางทะเลอย่างนี้ต้องไม่พลาดที่จะลิ้มลองเมนูซีฟู้ดกันสักเมนู เป็นกุ้งย่างซอส รสชาติหวาน เผ็ด ย่างกุ้งออกมาได้ดีเนื้อไม่แห้ง คงความนุ่มของเนื้อกุ้งและเคลือบซอสได้อย่างทั่วถึง
ตบท้ายด้วยขนมหวาน มูสมะม่วงเสิร์ฟพร้อมเยลลี่ตะไคร้และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ปิดท้ายมื้ออาหารอย่างสวยงามราวกับว่าได้ทานมื้ออาหารไฟน์ไดนิ่งในใจกลางเมือง วัตถุดิบคุณภาพชั้นเยี่ยมสดใหม่
ทุกคนได้ติดตามที่พักและอาหารการกินของเราที่ โซเนวา ฟูชิ ไปเรียบร้อยแล้ว หากใครมีโอกาสมาพักที่นี่ คงไม่อาจห้ามใจที่จะอยู่แต่ในที่พักอย่างแน่นอน บนเกาะนี้ยังมีอะไรที่สนุกและน่าสนใจให้เราออกมาสัมผัสอีกมาก ติดตามกันต่อในตอนถัดไป
Experiences | “โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มัลดีฟส์ Review
– Soneva Fushi Series –
“โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มัลดีฟส์ Review | Intelligent Luxury
Dining | “โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มัลดีฟส์ Review
Experiences | “โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มัลดีฟส์ Review
How to go | “โซเนวา ฟูชิ” (Soneva Fushi) มัลดีฟส์ Review