“เรากำลังจะไปอิตาลี” เป็นประโยคที่เราบอกกล่าวไว้กับใครหลายคนที่ถามเราว่า “เร็ว ๆ นี้มีแผนจะเดินทางไปที่ไหน”
ความน่าสนใจอยู่ที่คำแนะนำ และภาพจดจำจากทริปอิตาลีที่เค้าเคยเดินทางมาเที่ยวก่อนเรานั้น ค่อนข้างที่จะคล้ายและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน “ไปโรมรึปล่าว โคลอสเซียม หอเอนเมืองปิซ่า เวนิส ฟลอเรนซ์” คำตอบช่างชาเลนจ์และทำให้เราเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวกับเส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไปในครั้งนี้ และบอกก่อนเลยว่านี่คือ “อิตาลีเฟิสต์ไทม์” เราจึงต้องทำการบ้านมากเป็นพิเศษ
ทริปนี้เราได้รับคำเชิญจากการท่องเที่ยวประเทศอิตาลี ให้ไปสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเส้นทางอิตาลีตอนใต้พร้อมพิกัดอันซีน ช่วยโปรโมทให้คนไทยได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวในอิตาลีตอนใต้บ้าง! เข้าใจอาการขมวดคิ้วหลังจากฟังคำตอบจากคนรอบตัวเรารึยัง ดูแล้วจะอันซีนจริง ๆ เพราะไม่มีพิกัดที่เรากำลังจะไปในคำพูดของแต่ละคนเลย
ทุกคนต้องอ่านทุกตอน ห้ามพลาด! เพราะแต่ละพิกัดล้วนมีน่าสนใจตั้งแต่แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เคยผ่านหูผ่านตาในวิชาสังคม จนกระทั่งหมู่บ้านที่เหมาะกับการมาพักผ่อนตากอากาศที่จะทำให้คุณหลงเสน่ห์จนอยากมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ทุกที่มันดีมาก “แค่อาจเพียงเพราะเมืองเหล่านี้ไม่ใช่เมืองที่เป็นปลายทางของแฟชั่นและเครื่องหนังอันโด่งดัง เลยไม่มีใครพูดถึงนัก แต่ถ้าอยากสัมผัสความเป็นอิตาลีให้ครบรสชาติ คุณก็ไม่ควรพลาดพิกัดที่เราจะแนะนำ”
สำหรับคนไทย ก่อนเที่ยวอิตาลีอย่าลืมทำเรื่องขอวีซ่าเชงเกนก่อน โดยสามารถทำเรื่องได้ที่ VFS Global Visa Application Centre อาคารจามจุรีสแควร์ ชั้น4 โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร 02-118-7017 ( วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08:00 – 16:00) สามารถทำนัดหมายออนไลน์ได้ รายละเอียดบนเว็บไซต์ของศูนย์ VFS ค่อนข้างละเอียดและครบถ้วนเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันได้ VFS Global แนะนำสำหรับคนที่ชอบความรวดเร็วและสะดวกสบาย ทาง VFS มีบริการพิเศษ VIP Premium Lounge ราคา 1,500 บาทต่อคน จะได้รับการบริการส่วนตัวจากพนักงานในห้องรับรองพิเศษพร้อมเครื่องดื่มและของว่าง มีบริการถ่ายรูปและถ่ายเอกสารให้ด้วย นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
โรม (Rome) เป็นเมืองท่าที่เราจะบินไป-กลับเส้นทางกรุงเทพ-อิตาลี รีวิวการเดินทางในแบบฉบับที่เค้าบอกว่า #สบายต่างกัน จะสบายแค่ไหนเข้าไปอ่านกันได้ในบทความนี้ รีวิว Business Class การบินไทย AirBus A350 กรุงเทพ-อิตาลี บินตรงระหว่างประเทศ Non-Stop flight สบายสุด
ลงเครื่องที่โรมผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ เราก็เริ่มเที่ยวต่อเลยทันที เพราะพักผ่อนมาเต็มอิ่มบนเครื่องถึงโรมเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ช่วงเดือนตุลาคม อากาศเย็นประมาณ 18 องศา มีแสงแดดอ่อน ๆ
เที่ยวชมคฤหาสน์หลังงาม หนึ่งมรดกโลกยูเนสโก้
เริ่มต้นประสบการณ์ของการเดินทางในครั้งนี้ที่เมือง ทิโวลี (Tivoli) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโรมมากนัก ประมาณ 30 กิโลเมตร นอกจากอากาศเย็นสบายที่ทำให้เราสดชื่นแล้ว ที่นี่ยังโดดเด่นในเรื่องของการเป็นแหล่งโบราณคดีที่บันทึกร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตไว้ได้อย่างน่าสนใจ เป็นที่ตั้งของอดีตบ้านพักวิลลาอันหรูหรา ที่ได้รับการจดทะเบียนรับรองเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก้
พิกัดที่เราจะแนะนำให้ทุกคนแวะมาเยี่ยมชมที่เมืองทิโวลีในครั้งนี้คือ วิลล่าเอเดรียน่า (Villa Adriana) และ วิลล่า เดสเต (Villa D’ Este)
ย้อนรอยวิลล่าสุดยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโรมันที่ “Villa Adriana”
ซากปรักของอาคารอิฐตรงหน้าเราคือ วิลล่าเอเดรียน่า (Villa Adriana) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วิลลาเฮเดรียน (Hadrian’s Villa) ที่เฮเดรียน (Hadrian) จักรพรรดิแห่งโรมันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยสุดหรูในช่วงศตวรรษที่ 2 แม้ปัจจุบันจะอยู่ในรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่นี่คือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมอันสวยงาม และยิ่งใหญ่ เค้าโครงต่าง ๆ ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความอลังการในอดีตได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ไม่แปลกเลยที่วิลล่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกที่สำคัญจากองค์กรยูเนสโก
แม้ว่าจะเป็นเวลาสิบโมงเช้า อากาศยังคงเย็นเฉลี่ยอยู่ที่ 18-19 องศา มีลมพัดเย็น ทำให้เรายังคงต้องใส่ชุดคลุมหนาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น และทำให้เราสามารถเดินเที่ยวภายในวิลล่าเอเดรียน่าได้เรื่อย ๆ
วิลล่าเอเดรียน่า เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบโรมัน ผสมผสานกับอียิปต์ และกรีซ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 200 ไร่ บนเชิงเขา Tiburtine หลังจากที่เราได้เดินสำรวจแล้ว นอกเหนือไปจากความยิ่งใหญ่เรารู้สึกว่าในอดีตที่นี่คงเป็นสถานที่ในฝันของใครหลายคนแน่ ๆ เพราะพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งโรงละคร ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่สำหรับพักผ่อนเพื่อความสำราญใจของจักรพรรดิ กระทั่งโครงสร้างทางเดินใต้ดินที่สลับซับซ้อน
ไกด์ท้องถิ่นชี้ให้เราก้มดูทางเดินที่เรากำลังเดินอยู่ พร้อมกับบอกว่ากระเบื้องโมเสคที่เห็นนี้เป็นกระเบื้องโมเสคที่ปูไว้แต่ดั้งเดิม ทำให้รู้สึกทึ่งในความแข็งแรงทนทานของกระเบื้องโมเสคที่ทำขึ้นในสมัยนั้น แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 1,900 กว่าปีก็ยังคงวางเรียงรายให้เห็นตลอดทางเดินภายในวิลล่า
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวเห็นแล้วจำต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้คือ รูปปั้นคนที่ถูกวางเรียงรายอยู่ริมคลองคดโค้งรอบวิลล่า ที่จักรพรรดิ Hardrian ตั้งใจสร้างให้เหมือนกับบรรยากาศริมคลองอเล็กซานเดรียในประเทศอียิปต์
ผู้คนมีบ้างประปรายเพราะเป็นช่วงเช้าอยู่ ระหว่างทางเดินเจอซุ้มกาแฟตั้งอยู่ภายในวิลล่า ขอแวะจิบเอสเพรสโซสักหน่อย ด้านในซุ้มเป็นตู้กดกาแฟแบบหยอดเหรียญยี่ห้อลาวาซซา ราคาหนึ่งยูโร รสชาติเข้มข้น หอมกรุ่นเข้ากับบรรยากาศที่เย็นนิด ๆ มันต้องอย่างนี้สิ ทริปอิตาลี เราก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปกับกาแฟ ฟังไกด์ท้องถิ่นเล่าถึงจุดสำคัญต่าง ๆ ไปซะเพลิน ถือเป็นการอุ่นเครื่องทริปได้ดี
รู้หรือไม่ ! ประเทศอิตาลี และประเทศจีน เป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดในโลก มีเท่ากันที่ 55 แห่ง (ข้อมูล ณเดือนกรกฎาคม 2562)
“Villa D’ Este” ที่สุดของความสมบูรณ์แบบ โดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติ
หลังจากที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวันที่วิลล่าเอเดรียน่า เราก็เดินทางมายังอีกหนึ่งวิลล่ามรดกโลกนั่นคือ วิลล่า เดสเต (Villa D’ Este) วิลล่าสุดหรูสไตล์บาโรกตั้งตระหง่านอยู่อย่างเงียบสงบท่ามกลางสวนสีเขียวขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จากความตั้งใจของพระคาร์ดินัล Ippolito II d’Este ผู้ว่าการทิโวลีในสมัยนั้น แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 5 ศตวรรษแต่ที่นี่ก็ยังคงมีชีวิตชีวา เพราะได้รับการบูรณะ และดูแลอย่างดี ปัจจุบันความสวยงามที่ซ่อนตัวอยู่ในวิลล่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองทิโวลี และเป็นอีกสถานที่ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเข้าไปสัมผัส
โดยจุดเด่นของ วิลล่า เดสเต ที่ใครต่อใครต่างพูดถึงคือ สวนและน้ำพุขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบจาก Pirro Ligorio สถาปนิกผู้เลื่องชื่อชาวอิตาลี ในระหว่างที่เดินชมนั้นความยิ่งใหญ่แห่งสถาปัตยกรรมของที่นี่เรียกความตื่นตาตื่นใจจากเราได้มากทีเดียว
และด้านหน้าของเราคือ Fontana dell’Ovato น้ำพุบนโขดหินขนาดใหญ่ที่คงความสวยงามตามสไตล์บาโรก ด้านล่างเป็นลำธารที่เปรียบเสมือนตัวแทนให้รำลึกถึงแม่น้ำสายสำคัญทั้ง 3 สาย ได้แก่ Aniene, Erculaneo และ Albano นอกจาก Fontana dell’Ovato ที่นี่ยังรายล้อมด้วยน้ำพุน้อยใหญ่ และพันธุ์ไม้สีเขียวอีกมากมายสร้างความรื่นรมย์ให้แก่ผู้ที่มาชมอย่างเราเป็นอย่างมาก ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนก็เป็นต้องประทับใจ
อิ่มเอมกับความสวยงามด้านนอกกันไปแล้ว ถึงเวลาเดินพินิจพิเคราะห์ความสวยงามภายในวิลล่ากันบ้าง แล้วก็เป็นอย่างที่เราคาดคิดไว้ เพราะด้านในของวิลล่ายังคงความหรูหรา โอ่โถง สมกับเป็นวิลล่าของชนชั้นสูงจริง ๆ ทั้งผนังและเพดานถูกประดับประดาไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมัน ว่ากันว่าภาพเขียนทั้งหมดนั้นเป็นภาพที่ได้รับการเก็บรักษาอย่างดีตั้งแต่สมัยนโปเลียนเลยทีเดียว
ปิดท้ายความสวยงามของ วิลล่า เดสเต ด้วยภาพมุมสูงจากจุดชมวิวมุมสูงบริเวณระเบียง ที่ทำให้เรามองเห็นบรรยากาศโดยรอบวิลล่าได้แบบพาโนรามา เป็นความประทับใจที่เราอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง
รู้หรือไม่ ! สวนสไตล์อิตาลี มีความคล้ายคลึงกับสวนอังกฤษ และสวนสไตล์ฝรั่งเศส แต่ที่แตกต่างคือ สวนสไตล์อิตาลีจะเน้นความสมดุล แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนด้วยรูปทรงเรขาคณิต เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ใช้ประติมากรรมประดับสวน เน้นไม้พุ่ม และใช้สีเขียวของพรรณไม้เป็นสีดัดกับสีของอาคาร
__________________________________
NEXT STOP SOUTH ITALY!
ไปดื่มด่ำประวัติศาสตร์ในเส้นทางอิตาลีใต้ พร้อมพิกัดเมืองสวยติดอันดับอันซีน
https://www.sotraveler.com/south-italy/
เปิดประสบการณ์พิซซ่าสูตรต้นตำรับที่ “เนเปิลส์ (Naples)”
https://www.sotraveler.com/pizzeria-da-michele-naples/
“ปอมเปอี (Pompeii)” เมืองโบราณใต้เถ้าถ่านภูเขาไฟที่(เคย)ถูกลืม
https://www.sotraveler.com/pompeii/
สัมผัสความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมที่พระราชวังกาแซร์ตา (Caserta Royal Palace and Park)
https://www.sotraveler.com/caserta-royal-palace/
ชมความน่ารักของหมู่บ้านฮอบบิทแห่งอิตาลี ที่ อัลเบอโรเบลโล (Alberobello)
https://www.sotraveler.com/trullo-alberobello/
ดื่มด่ำเสน่ห์ 3 เมือง 3 สไตล์ เลชเช่ (Lecce) กัลลิโพลี (Gallipoli) และ ออสทูนี (Ostuni)
https://www.sotraveler.com/lecce-gallipoli-ostuni
หมู่บ้านหิน “มาเทรา (Matera)” ชุมชนที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/matera/
ปิดท้ายเส้นทางอิตาลีใต้ด้วยกิจกรรมสุดตื่นเต้นและหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี
https://www.sotraveler.com/castelmezzano/
พามาชิมไวน์ในโรงบ่มไวน์ ไร่องุ่นภูเขาไฟ Bosco de Medici เมืองปอมเปอี ประเทศอิตาลี
https://www.sotraveler.com/bosco-de-medici-winery/