Sunday Brunch ห้องอาหาร Trader Vic’s โรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับท่านที่อยากพาครอบครัวมาทานอาหารมื้อสายวันอาทิตย์หรือที่เราคุ้นเคยกันดีกับมื้อซันเดย์บรันช์ในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ละเมนูจะหลากหลายและน่าทานมากแค่ไหน เรียนเชิญทุกท่านมาติดตามอ่านและรับชมภาพไปด้วยกันกับผมนะครับ
ก่อนที่จะเข้าสู่เมนูต่างๆในซันเดย์บรันช์ ผมเล่าถึงบรรยากาศโดยรวมของห้องอาหาร Trader Vic’s กันสักหน่อยนะครับ ห้องอาหารตกแต่งสไตล์สไตล์หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตกแต่งด้วยเสาไม้แกะสลักของชนเผ่าบนเกาะ แวดล้อมไปด้วยสวนป่าต้นไม้เมืองร้อน ที่ตั้งอยู่ริมแม้น้ำเข้าพระยา
“ธีมของซันเดย์บรันช์ จะมีกลิ่นอายของความเป็นหมู่เกาะ อโลฮา
สดชื่นๆ เชิญชวนให้มาเพลิดเพลินกับซันเดย์บรันช์กันอะไรทำนองนั้น”
มุมโต๊ะสำหรับนั่งรับประทานอาหารมีให้เลือกทั้งแบบในห้องอาหารติดแอร์และแบบสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติด้านนอก แต่สำหรับซันเดย์บรันช์ ช่วงที่ผมมาทานยังไม่ใช่ช่วงฤดูที่จะมีลมพัดเย็นสักเท่าไหร่ แขกจึงเลือกนั่งในห้องแอร์เย็นๆกันเกือบทั้งหมด
ต้อนรับเข้าสู่ ซันเดย์บรันช์ @ Trader Vic’s ด้วยพวงมาลัยดอกรักและดอกกล้วยไม้บรรยากาศหมู่เกาะเริ่มมาแล้วครับ
หลังจากต้อนรับด้วยพวงมาลัย ผมขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ความเป็นหมู่เกาะอโลฮา ในมื้อซันเดย์บรันช์ที่ห้องอาหาร Trader Vic’s โรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์ ให้มีบรรยากาศที่เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ซิกเนเจอร์ ค็อกเทล กับ Tiki Bar ได้บรรยากาศของบาร์ริมชายหาด
โดยมีเมนูให้เลือกทั้งหมด 4 เมนู หากเป็นการมาทานซันเดย์บรันช์ ที่ห้องอาหาร Trader Vic’s ครั้งแรกผมก็แนะนำให้ชิมทั้งสี่อย่างรสชาติมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยรวมทั้งสี่แก้วจะออกแนวหวานแซมเปรี้ยวเล็กน้อยมีกลิ่นหอมขึ้นจมูก ผมยกให้ EILANI เป็นเมนูที่ผมชอบมากที่สุดเนื่องจากมีความหอม จากส่วนผสมของรัมย์ที่มีชาเอิร์ลเกรย์อินฟิวส์อยู่ ซึ่งให้สัมผัสที่เซอร์ไพรส์ความรู้สึกได้ดี และกระตุ้นความสดชื่นในการรับรสอาหารของลิ้นมากขึ้น
Tiki Bar มีบาร์เทนเดอร์คูลๆ รอมิกซ์แต่ละเมนูให้นะครับแต่ใครอยากโชว์ลีลาเองพี่เค้าก็ยินดีที่จะยกเวทีนี้ให้ได้แสดงฝีมือและลีลาการเชคอย่างเต็มที่
นอกจากซิกเนเจอร์ ค็อกเทล ทุกท่านที่มาทานจะได้รับเวลคัม ดริ้งที่เป็นน้ำพันช์สดชื่นๆ
ในส่วนของเมนูอาหารที่ให้บริการในซันเดย์บรันช์ จะเสิร์ฟทั้งในแบบไลฟ์คุกกิ้งสเตชั่น และแบบสั่งจากใบรายการที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ให้เชฟปรุงจากครัวมาเสิร์ฟเป็นเมนูอลาคาร์ท (a la carte) ซึ่งผมค่อนข้างชอบในความชัดเจนของแต่ละสเตชั่นที่ให้บริการของห้องอาหาร Trader Vic’s ที่ให้บริการเสิร์ฟอาหารกันแบบจัดเต็มและพิถีพิถันให้ความรู้สึกว่าเรากำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านชาวเกาะที่มีร้านอาหารชั้นนำที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีที่สุดมาให้บริการให้กับเราในวันนั้น
ในไลฟ์คุกกิ้งสเตชั่นยังแยกออกเป็นโซนด้านนอกและโซนด้านในห้องอาหาร ด้านนอกจะเป็นสเตชั่นอาหารที่ใช้เตาร้อน มีการปิ้งย่างเกิดควัน ด้านในจะเป็น สลัด ซีฟู้ด ชูชิ ไอศกรีม ขนมหวานต่าง ๆ
เรามาดูในส่วนของไลฟ์คุกกิ้งสเตชั่น ที่อยู่บริเวณด้านนอกห้องอาหารกันต่อเลยดีกว่า เริ่มต้นด้วย สเตชั่นของอาหารอินเดีย โชเล่ ซาโมซ่า อาหารว่างของคนอินเดีย และแกงเผ็ด แกงถั่ว
และยังมีขนมหวาน ที่มีลักษณะคล้ายๆ แป้งปั้นเป็นกลมๆ คลุกงานขาว ทอดออกมาแล้วบางกรอบ หน้าตาคล้ายๆขนมลาดู แต่ก็ไม่ใช่ลาดูที่ผมเคยทาน เชฟเสิร์ฟให้ทานแบบเทน้ำสักอย่างลงไปในลูกกลมๆ เชฟพูดเป็นภาษาอังกฤษนะครับ บทสนทนาของเชฟชวนชิมสรุปย่อๆคือ
เชฟ : อยากให้ชิมเมนูนี้จังเลย เป็นเมนูที่อร่อยมากเลยนะ (เชฟยกมาให้ลองถึงโต๊ะ พนักหน้าให้ลอง)
ผม : มันคืออะไรเหรอครับ
เชฟ : เป็นคล้ายๆขนมหวานเวลาทานต้องเทน้ำที่อยู่ในนี้ลงไป แล้วทานพร้อมกัน must try!
ผม : เอ… ยิ้มผสมหัวเราะ (ผมเคยทานอาหารอินเดียมาก่อน น้ำที่อยู่ในโถ น่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ผสมสารพัดพืชพันธ์และรสจะออกเค็มๆหน่อยๆ ดูแล้วน่าจะคล้ายๆกัน)
ดูจากชั้นเชิงแล้ว เชฟมีท่าทางว่าถ้าไม่ชิม เชฟจะไม่ปล่อยผมกลับบ้านแน่ๆ ผมเลยบอกเชฟว่าจัดเลย ผมลอง ซึ่งที่เคยลองน้ำตัวนัมา ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ เพราะเป็นคนที่ชอบทานผักอะไรได้อยู่แล้วเพียงแต่ มันดูผสมอะไรเยอะไปหน่อยบวกกับรสเค็มๆเย็นๆ เลยทำให้ผมไม่ถนัดที่จะชิมเท่าไหร่นัก
เชฟจัดการเทใส่ แล้วผมก็ยกใส่ปากทั้งก้อน
โอ้ ! A LO HA Ha ha หัวเราะในใจ มันใช่รสชาติที่คิดไว้จริงๆด้วย ตัวน้ำที่ทำมาจากพืชหลายอย่างรสออกกลิ่นมินต์เย็นเค็มนิดๆ มีความกรุบของข้าวพองปิดท้ายก่อนกลืน ก็แปลกดีผมไม่เคยทานแบบผสมกันเช่นนี้มาก่อน กลิ่นของน้ำผมทานได้นะแต่ไม่ชอบตรงรสเค็มแค่นั้นแหล่ะครับ ใครมีโอกาสก็ต้องลองชิมกันดูนะครับ แต่ใครที่ไม่ชอบกลิ่นของสมุนไพรเยอะๆ อาจจะรู้สึกแปลกๆ
ติด ๆกันเป็นแป้งนาน ไก่ย่าง (Chicken Tikka) กุ้งย่าง (Shrimp Tikka)
ซึ่งก็เป็นการย่างที่หมักและปรุงด้วยเครื่องเทศในแบบอินเดีย
ย่างในหม้อดินเช่นเดียวกับนาน หอมฉุยใช้ได้
ถัดมาเป็นสเตชั่นฟัวร์กรา (Foie gras) ที่ปรุงกันใหม่ๆร้อนๆ
กรอบด้านนอกนุ่มด้านใน พร้อมกับ ซัทนีย์ (chutney)
ขนมปังบริออซ (brioche) ถิอว่าทำออกมาได้น่าทานมากทีเดียวเชฟทำการเซียร์ฟัวร์กราให้ตามออร์เดอร์ทานพร้อมขนมปังบริออซ ราดซัทนีย์สักหน่อย แล้วแต่ความชอบในการทานของแต่ละคน
ถัดมาเป็นเมนู Craving ที่ย่างได้หอมเตะจมูกมากๆ
ถัดมาเป็น เทปปันยากิ ซึ่งมีเชฟคอยปรุงโชว์ให้ดูด้วยเห็นป้ายแขวนไว้ว่า Benihana ซึ่งก็เป็น ปุ่น สนุกสนานไปกับการแสดงวิธีปรุงเทปันยากิที่เทปันยากิ สเต็กเฮาส์แบบญี่ปุ่นของที่นี่เช่นกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ห้องอาหารได้จัดวางและเสิร์ฟได้แบบจัดเต็มดีจริงๆ ไม่ได้ยกแต่สเตชั่นมาเท่านั้น มาพร้อมเชฟและลีลาการปรุงอันเป็นคอนเซ็ปด์เด่นของ เบนิฮานา อีกด้วย
เชฟโชว์ลีลาการสับ ผัด ด้วยฝีมือที่ฝึกฝนมาอย่างดีรสชาติความอร่อย ก็ผ่านฉลุยแน่นอนตั้งแต่ความสดของวัตถุดิบ
ถัดมาก็เป็นสเตชั่นเมนูติ่มซำ ขนมจีบ ซาลาเปา อุ่นเสิร์ฟร้อนจากเตาของดีสมกับความเป็นห้องอาหารห้าดาว เลือกทานกันไม่ถูก แต่ถ้าให้ทานทั้งหมดคงไม่ไหวแน่ๆ
ตามมาติด ๆ กับสเตชั่นอาหารไทยอย่างผัดไทย และผัดกะเพรา เครื่องเทศ เครื่องปรุง เครื่องเคราต้องบอกว่าจัดเต็มผมเห็นแล้วอดใจไม่ได้ที่จะสั่ง ผัดกะเพราทะเล อาจจะดูธรรมดาแต่วัตถุดิบที่เยี่ยมยอดแบบนี้ถ้าไม่ทำเองก็หาทานจากร้านข้างนอกได้ยาก และดูจากเชฟที่ปรุง น้ำซอสที่วางไว้ ผมค่อนข้างมั่นใจในรสมือ กะเพราที่ผมจะได้ทานจานนี้มากๆ
ถ้าผมได้กลับไปอีก ผมก็จะสั่งอีก เป็นเมนูตัดเลี่ยนไลน์อาหารอื่นๆได้ดีมาก ส่วนผัดไทยไม่ได้ลองครับ เนื่องจากเมนูอาหารเยอะมาก ต้องจัดลำดับความชอบ ความอร่อยท่จะชิมกันสักหน่อย
สเตชั่นของอาหารมาเลเซีย เป็นสเตชั่นสุดท้ายที่เราจะอยู่กันด้านนอก ตอนแรกผมก็เดาไม่ออกเหมือนกัน ว่านี่คือสเตชั่นของอาหารสัญชาติไหน พอเห็น Nasi Lemak เลยรู้ขึ้นมาทันที ซึ่งก็ยังมีเมนู Roti Jala และ Chicken Perick ให้เลือกชิมอีกด้วย
เรามาต่อกันที่สเตชั่นของเมนูอาหารที่อยู่ด้านในห้องอาหาร แอร์เย็นๆกันบ้าง ด้านในห้องอาหารมีดนตรีร้องสดให้ฟังกล่อมบรรยากาศกันไปสบายๆ
เริ่มต้นการแนะนำกันด้วยสเตชั่น ซีฟู้ดแบบจัดเต็มแบบนี้ กุ้งมังกร ตัวใหญ่ อลังการใจจริงๆ กุ้งแม่น้ำ กุ้งลายเสือ กั้ง ปูทะเล ปูม้า หอยตลับ หอยแมลงภู่ เยอะจริงครับ
หอยนางรม ที่ไม่ใช่หน้ากากหอยนางรม แต่เป็น หอยนางรมสดๆ มีพนักงานแกะวางให้ แขกที่มาทานดูจะเยอะก็จริงแต่ความเยอะ ความหลากหลายของเมนูอาหารและการกระจายตัวของแต่ละสเตชั่นทำให้ แขกเลือกตักทานสลับกันไปมาไม่วุ่นวาย
ส่วนใครอยากลองแวะชิม ชีส สักหน่อยก็ลองเลือกชิมกันดู
มีให้เลือกอยู่หลายแบบ หลายประเภทอยู่นะ
สเตชั่นขายดีติดอันดับไม่แพ้กันก็เป็นสเตชั่นของปลาแซลมอน
สเตชั่นยำทูน่า ที่เขียนป้ายกำกับไว้ว่า Tuna Poke ที่รสชาติดูเหมือนจะเผ็ด
แต่ชาวต่างชาติกลับชอบมากรสชาติไม่ได้ออกมาเป็นยำรสชาติไทยๆ อย่างที่เราทานกันแต่จะมีกลิ่นของเครื่องเทศบางอย่างที่ให้กลิ่นคล้ายๆสลัดสไตล์แม็กซิกัน ใครมาทานไม่ควรพลาดที่จะลอง
สเตชั่นชูชิและซาซิมิ สเตชั่นยอดนิยมที่ต้องมีทุกที่
ส่วนใหญ่จะทำออกมาดี ความต่างจะอยู่ที่ความสด
นอกจากเมนูที่อยู่ในสเตชั่นต่างๆ แล้ว บนโต๊ะก็ยังมีเมนูที่เรียกว่า
Brunch a la carte Menu
เลือกเมนูแล้วออร์เดอร์กับพนักงานที่ดูแลที่ห้องอาหารได้เลย
เมนูที่มีให้เลือกได้แก่
- เป็ดปักกิ่ง (Pancakes with crispy Peking)
- หมูแดง (Sliced red pork with Hoisin Sauce)
- ซี่โครงหมูบาร์บิคิว (BBQ Spare Ribs)
- ปีกไก่ (Chicken Wing)
- เนื้อสันในเซียร์ราดซอส ที่เลือกระดับความสุกของเนื้อได้(Seared Beef Angus Tenderloin with caramelized shallots)
- บอสตันล็อปเตอร์เซียร์กับเนยกระเทียม ( Boston Lobster Tails in Garlic Mustard Butter from the Pan )
- หอยเชลล์อเมริกากับหน่อไม้ฝรั่ง ราดซอสครีม (US Scallops with Asparagus Truffle Cream)
- ทอร์เทลลินีกุ้งโฮมเมด (Home made tortellini with prawns)
ถัดมาเป็น สลัด และแฮม ซึ่งสลัดมีทั้ง Caesar salad และ Maxican Salad
เข้าสู่ ของหวานและผลไม้กันแล้ว ก่อนที่จะเป็นเค้กและเบเกอรี่ผมขอแนะนำ
เครปข้าวเหนียวมะม่วง เป็นเมนูขนมหวานโปรดส่วนตัวของผม และมันเข้ากันได้ดีมาก
ในด้านของเค้กและเบเกอรี่มีให้เลือกเยอะ จนเลือกไม่ถูกรอบนี้เค้กและเบเกอรี่ไม่ทันได้ชิมเลยเพราะจัดเครปข้าวเหนียวมะม่วงไปอย่างเต็มที่
ขอเก็บรูปมาฝากกันแล้วกันนะครับ
เป็นยังงัยกันบ้างครับ หลังจากที่ได้อ่านและรับชมภาพของ ซันเดย์บรันช์ ห้องอาหาร Trader Vic’s ที่ผมได้นำมาฝากกัน โดยความคิดเห็นชองผมเอง ซันเดย์บรันช์ ของห้องอาหาร Trader Vic’s นับได้ว่าเป็นหนึ่งใน ซันเดย์บรันช์ ที่มีความหลากหลายในเมนูของอาหาร รวมถึงมีระดับของคุณภาพที่อยู่ในระดับพรีเมี่ยม จุดที่โดดเด่นและแตกต่างจาก พรีเมี่ยมซันเดย์บรันช์ที่ผมเคยทานคือ ทำเลที่แยกตัวออกไปอยู่ในบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งก็ให้ความรัสึกที่ผ่อนคลายได้ดีมากทีเดียว
ข้อมูลห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์
ห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์ อยู่ที่ชั้น1 ของโรงแรมอนันตรา กรุงเทพฯ ริเวอร์ไซด์
ให้บริการมื้อ Sunday Brunch ตั้งแต่เวลา 11.30 ถึง 15.00 น.
โทร : 0-2476-0022
อีเมล : [email protected]
ราคามื้ออาหาร Sunday Brunch ห้องอาหาร เทรเดอร์ วิคส์
- 1,990++ บาท/คน รวมน้ำผลไม้, ซอฟดริ้ง และ ซิกเนเจอร์ ค็อกเทล
- 2,990++ บาท/คน รวมน้ำผลไม้, ซอฟดริ้ง และ ซิกเนเจอร์ ค็อกเทล สปาร์คกลิ้ง ไวน์ เบียร์
- 950++ บาท/คน สำหรับเด็กอายุ 5-12 ขวบ