ห้องอาหารรอสซินีส์ (Rossini’s) ห้องอาหารอิตาเลี่ยนสุดหรูของโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเล็คชั่น โฮเท็ล ขอมอบช่วงเวลาแห่งความสุขตลอดทั้งเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนนี้ ด้วยการนำสุดยอดเชฟระดับมิชลินสตาร์ทั้ง 3 ท่านมารังสรรค์เมนูอาหารสุดพิเศษให้ทุกท่านได้ลิ้มลองใน “Michelin Star Dining at Rossini’s” โดยจัดขึ้นทั้งหมด 3 รอบ
- มิชลินสตาร์เชฟ Tano Simonato จากร้าน Tano Passami l’Olio, Milan (10 – 12 ตุลาคม 2562)
- มิชลินสตาร์เชฟ Gianni Tarabini จากร้าน La Fiorida, Mantello (7 – 9 พฤศจิกายน 2562)
- มิชลินสตาร์เชฟ Martina Caruso จากร้าน Signum restaurant, Salina Island (22 – 23 พฤศจิกายน 2562)
ในครั้งนี้เราจะมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ และความประทับใจจากการที่ได้มีโอกาสไปลิ้มรสชาติเมนูอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนโดย “เชฟทาโน ซิโมนาโต” (Tano Simonato) จากร้านอาหารชื่อดัง Tano Passami l’Olio เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เชฟที่มากด้วยประสบการณ์ในการทำอาหารกว่า 47 ปี ครองใจเหล่านักชิม และได้รับการการันตีความสำเร็จด้วยรางวัลมิชลินสตาร์
“ส่วนผสมจากความคิดสร้างสรรค์ สู่เมนูอาหารที่ลงตัว”
เชฟทาโนเผยว่า กว่าที่จะก้าวเข้ามาเป็นเชฟระดับมิชลินสตาร์ได้นั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับการทำอาหารแล้ว สิ่งสำคัญไม่ได้มีเพียงแค่ฝีมือในการปรุง แต่ยังรวมไปถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ หมั่นค้นคว้าเพื่อฝึกฝนความเป็นมืออาชีพ และมีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ ทั้งหมดนี้คือคติในการทำอาหารที่ตนยึดถือมาโดยตลอด ไปชมกันเลยดีกว่าว่าเชฟทาโนได้รังสรรค์เมนูใดไว้ต้อนรับเรากันบ้าง
เริ่มต้นมื้อค่ำสุดพิเศษด้วยเซ็ตเมนู Appitizer
เมนูแรกคือ Morbido di robiola, albume e patata, caviale Home made, tartare di scampi, crema al nero (950++ บาท) ซึ่งเชฟทาโนเลือกเสิร์ฟเป็น 2 องค์ประกอบในจานเดียว ด้านขวาคือ กุ้งแลงกูสทิน (Langoustine) เนื้อหวานผสมกับซอสทาร์ทาร์ คลุกเคล้ากับ Robiola Cheese ชีสสัญชาติอิตาเลียนทำให้ได้รสชาติที่พอดี ส่วนด้านซ้ายคือ มันฝรั่งเนื้อเนียนนุ่มที่ด้านบนโรยด้วยคาร์เวียร์สูตรโฮมเมด เรียกได้ว่าจานนี้เป็นการนำวัตถุดิบที่มีรสชาติหลากหลายมารวมกันอย่างลงตัว ให้รสชาติที่ไม่หนักเกินไป สมกับเป็นเมนูเริ่มต้นเตรียมความพร้อมสำหรับจานต่อไปได้เป็นอย่างดี
ถัดมาที่จานต่อไป Carpaccio di gamberi rossi, ostrica caramellata, emulsione di albume, spumante e olio evo, crumble di riso nero, pistacchio e patata, aria di mare (920++ บาท) จานนี้นอกจากจะมีหน้าตาที่โดดเด่นแล้ว ยังชวนให้หวนรำลึกถึงความเป็นอิตาเลียนแบบดั้งเดิมด้วย คาร์ปาชโช่ (carpaccio) หรือเนื้อสัตว์สไลด์/ทุบให้บางแล้วเสิร์ฟแบบดิบ ซึ่งเชฟทาโนได้เลือกใช้กุ้งแดง (Red prawns) เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับจานนี้ เคียงคู่มากับหอยนางรมฟินเดอแคลร์ที่นำไป caramelized จนได้กลิ่นหอม ทานคู่กับข้าวสีนิลบด ถั่วพิสตาชีโอ และมันฝรั่ง เพิ่มความน่าสนใจด้วย Seawater air เป็นเนื้อโฟมบางเบาด้านบน
ปิดท้ายเซ็ต Appitizer ด้วยเมนูที่มีกลิ่นหอมเรียกความสนใจตั้งแต่นำมาเสิร์ฟคือ Millefoglie di filetto di vitello cotto a bassa temperatura, foie gras e mela glassata, riduzione al Calvados, tartufo nero (750++ บาท) เนื้อสันในลูกวัวอบ มาพร้อมกับสัมผัสที่นุ่ม ฉ่ำ และฟัวกราส์ จัดวางเรียงซ้อนกันแบบ ‘มีล์เฟย (Millefoglie)’ ตัดรสด้วยแอปเปิ้ลสไลด์เคลือบรสหวาน นอกจากจะมีรสชาติที่กลมกล่อมแล้วยังมีกลิ่นหอมจากคาลวาโดส และเห็ดทรัฟเฟิลดำ ใครที่ชื่นชอบความหอมของเห็ดทรัฟเฟิลก็น่าจะถูกใจเมนูนี้ทีเดียว
เมนูซุปรสชาติเยี่ยมที่คัดมาแล้วทุกวัตถุดิบ
Vellutata di formaggella, uova di quaglia poché, asparagi, crumble di parmigiano e tartufo Bianco o nero (860++ บาท) เสิร์ฟมาในรูปแบบของครีมซุป ตัวเนื้อซุปมีส่วนผสมหลักจาก Formagella ทวีความหอมเย้ายวนชวนให้ลิ้มลองด้วยกลิ่นของเห็ดทรัฟเฟิลขาว และเห็ดทรัฟเฟิลดำสไลด์ เสิร์ฟพร้อมไข่นกกระทาต้ม หน่อไม้ฝรั่ง และพาร์เมซานบด รสชาตินุ่มแต่ไม่เลี่ยน สัมผัสได้ถึงความลงตัวของทุกวัตถุดิบได้อย่างน่าประทับใจ
ซุปอีกรูปแบบหนึ่งที่เชฟทาโนเลือกทำมาเสิร์ฟในวันนั้นคือ Gazpacho caldo di pomodoro con seppie, baccala’ e capesanta (720++ บาท) ‘กัซปาโช (Gazpacho)’ หรือซุปมะเขือเทศเย็นที่เรารู้จักกันนั่นเอง แต่กัซปาโชของเชฟทาโนถ้วยนี้ไม่ธรรมดา เพราะเลือกเสิร์ฟแบบอุ่นร้อน และเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อซุปด้วย baccala’ หรือปลาแห้ง ที่ช่วยทำให้รสชาติของซุปมีความลงตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเปรี้ยวหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมหอยเชลล์ฮอกไกโด และปลาหมึกเนื้อนุ่มเด้งท็อปไว้ด้านบน
Pasta Course เรียบง่ายแต่รสชาติไม่ธรรมดา
เพิ่มเติมความเป็นอิตาเลียนด้วยพาสต้า คอร์ส เมนูแรกคือ Ravioli di astice e mozzarella, spuma di carota, spugna di fave di cacao (850++ บาท) ราวีโอลี่ (Ravioli) ซึ่งเป็นสูตรโฮมเมดตามแบบฉบับของเชฟทาโน ตัวไส้ทำจากบอสตันล็อบสเตอร์ และมอซซาเรลล่า (buffalo mozzarella) ได้รสชาติชีสแบบเต็มคำ เคียงคู่มาอย่างสวยงามกับแครอทโฟม และโกโก้สปันจ์
สำหรับจานต่อไปคือ Spaghetti alla chitarra in bianco (760++ บาท) สปาเก็ตตี้ที่หน้าตาดูเรียบง่าย แต่รสชาติ และวัตถุดิบนั้นไม่ธรรมดา จานนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเชฟทาโน โดยเชฟทำเส้นขึ้นมาเองเป็น chitarra เส้นยาวที่สอดไส้ครีมไว้ตรงกลาง เข้ากันได้ดีกับตัวซอสที่ทำจากพาร์เมซาน
เมนู Main Course สุดสร้างสรรค์
เมนูจานหลักที่เชฟทาโนเลือกเสิร์ฟในวันนั้น เมนูแรกคือ Cernia con spinaci al peperoncino , crema di zafferano (1750++ บาท) ปลาเก๋าที่เสิร์ฟคู่กับผักโขมผัดพอสุกในสไตล์ sautéed ทานแล้วสัมผัสได้ถึงรสที่จัดจ้านมากขึ้นกว่าจานที่ผ่าน ๆ มา แถมยังได้กลิ่นหอมจากหญ้าฝรั่น (saffron) เครื่องเทศที่ได้ชื่อว่ามีราคาแพงที่สุดมาใส่ลงในจาน สมกับเป็นเมนูจากเชฟระดับมิชลินสตาร์จริง ๆ
ปิดท้ายเซ็ตจานหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย Carrè d’agnello cotto a bassa temperatura fasciato del suo fondo, miele e menta gel. carciofo caramellato con mousse di ricotta al limone e menta (1800++ บาท) เชฟทาโนเลือกนำเนื้อแกะส่วนติดกระดูก (lamb rack) ไปซูวีเพื่อทำให้สุก แต่ยังคงไว้ซึ่งความชุ่มฉ่ำ เพิ่มรสชาติความหวานนุ่มลิ้นด้วยน้ำผึ้ง เสิร์ฟพร้อมอาร์ติโชค (artichoke) รสหวานมัน ทานคู่กับมูสชีสที่เจือด้วยกลิ่นมินต์ และเลมอนจาง ๆ
ส่งท้ายมื้อค่ำสุดพิเศษด้วยเมนูของหวาน
เมนูของหวานเบา ๆ ตบท้ายในสไตล์อิตาเลียนคือ Bavarese di nocciola, ganache di cioccolato all’acqua e olio evo, nocciole sabbiate, lingua di gatto alla nocciola (350++ บาท) มูสที่ทำจากพีดมอนต์ เฮเซลนัท (Piedmont Hazelnut) เนื้อเนียนหอม ราดด้วยดาร์คช็อคโกแลตกานาชรสเข้ม ไม่หวานเกินไป
ลิ้มรสหวานซ่อนเปรี้ยวจาก Meringata scomposta in crema inglese al limone e frutti di bosco (350++ บาท) เมอแรงก์ที่เสิร์ฟพร้อมครีมเลมอน ให้รสที่เปรี้ยวหวานกำลังดี เพิ่มความสดชื่นให้กับจานนี้ด้วยเบอร์รี่สดชิ้นพอดีคำ เข้ากันได้ดีกับตัวเมอแรงก์ และครีมเลมอน รสชาติสมบูรณ์แบบส่งท้ายค่ำคืนนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
ต้องบอกเลยว่า Michelin Star Dining at Rossini’s จากฝีมือของเชฟทาโน ซิโมนาโต นั้นไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ ทั้งบรรยากาศ และรสชาติของอาหาร ที่แสดงให้เห็นถึงการใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ ก่อนจะนำมาปรุงให้เราได้ทานกัน สำหรับใครที่อยากพาคู่รัก หรือครอบครัวมาลิ้มลองรสชาติอาหารสุดพิเศษจาก Michelin Star Dining at Rossini’s ทางห้องอาหารรอสซินีส์ (Rossini’s) โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท, เอ ลักซ์ชัวรี่ คอลเล็คชั่น โฮเท็ล ยังเปิดโอกาสให้ได้มาลิ้มลองกันอีก 2 รอบ ในวันที่ 7 – 9 พฤศจิกายน และ 22 – 23 พฤศจิกายนนี้
- 7 – 9 พฤศจิกายน 2562: มิชลินสตาร์เชฟ Gianni Tarabini จากร้าน La Fiorida, Mantello
- 22 – 23 พฤศจิกายน 2562: มิชลินสตาร์เชฟ Martina Caruso จากร้าน Signum restaurant, Salina Island
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์โทร 02-649-8364