วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) แบรนด์หรูระดับเวิล์ด์คลาสของเครือฮิลตันที่โดดเด่นด้วยการให้บริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดในรูปแบบ “True Waldorf Service” การเปิดตัวของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ในทำเลใจกลางกรุงเทพฯในขณะนี้เป็นที่จับตามอง เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นนักเดินทางและชอบพักผ่อนในโรงแรมระดับลักชัวรี่ต่างตื่นเต้นและรอคอยที่จะเข้าไปสัมผัส วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ด้วยตัวเอง นอกจากจุดเด่นด้านทำเลความอลังการของตึกแล้ว วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ยังเป็นโรงแรมแบรนด์วอลดอร์ฟ แอสโทเรียแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตะวันออกเฉียงใต้ อีกด้วย
ชื่อของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการให้บริการโรงแรม หรือรีสอร์ทที่หรูหรา แฝงไปด้วยเสน่ห์ของแต่ละสถานที่ ความมุ่งมั่นในการให้บริการเฉพาะบุคคลที่เหนือระดับ ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เป็นเลิศ โดยวอลดอร์ฟ แอสโทเรียมีโรงแรมที่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย มีความมุ่งมั่นที่จะมอบความรู้สึกตื่นตาตื่นใจให้กับผู้มาเยือนตั้งแต่ก้าวแรกที่แขกผู้มาเยือนได้มาถึง ด้วยพื้นที่ภายในบริเวณโรงแรมที่ถูกออกแบบตกแต่งอย่างสุดประทับใจ ควรค่าแก่ความทรงจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้มีชื่อเสียงในอดีต อาทิ เจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ มาริลิน มอนโรว์ แฟรงค์ ซินาตร้า ไปจนถึงผู้นำของโลกมากมาย ต่างก็เคยเป็นแขกของวอลดอร์ฟ แอสโทเรียทั้งสิ้น
“ด้วยบรรยากาศ และการตกแต่งที่งดงามอย่างมีเอกลักษณ์เหนือกาลเวลา และความเอาใจใส่ในการมอบความทรงจำดีที่สุดให้กับแขกผู้มาเยือนทุกท่าน การบริการที่เหนือระดับแบบ ทรู วอลดอร์ฟ เซอร์วิส (True Waldorf Service) โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ จะสร้างมาตรฐานใหม่ของคำว่าลักซ์ชัวรี่ ในทวีปเอเชียแห่งนี้”
ตัวอาคารของโรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ถูกออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดอกแมกโนเลีย ซึ่งเป็นชื่อของบริษัท แมกโนเลีย ไฟน์เนสท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เป็นเจ้าของ ด้วยตัวอาคารที่สูงตระหง่านและรูปทรงที่ทันสมัย และแปลกตา ทำให้ โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ โดดเด่นต่อทุกสายตาที่ได้มาเยือน ณ สี่แยกราชประสงค์ ใจกลางมหานครกรุงเทพฯ แห่งนี้
ภายในโรงแรมฯ ประกอบไปด้วยห้องพัก และห้องสวีทหรูหรากว้างขวางรวม และถูกออกแบบโดยสถาปนิกนักออกแบบตกแต่งชื่อดังระดับโลกชาวฮ่องกง มร. อองเดร ฟู (André Fu) และทีมงานของเขาจากสตูดิโอ AFSO
THE LOCATION
โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) ตั้งอยู่ใจกลางย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ สามารถเดินจากรถไฟฟ้า BTS เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงโรงแรมแล้ว พื้นที่โรงแรมจะตั้งอยู่ชั้น 1-16 และชั้น 55 – 57 ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB)
ACCOMMODATION
โรงแรมมีห้องพักและห้องสวีททั้งหมด 171 ห้อง แบ่งออกเป็น King Rooms 124 ห้อง, Twin Rooms 12 ห้อง และ ห้อง Suites 35 ห้อง ขนาดความกว้างเริ่มต้นที่ 50 ตารางเมตร ติดกระจกบานใหญ่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน รับชมวิวใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องพักได้อย่างเต็มตา ชุด amenity kit ในห้องน้ำใช้ของแบรนด์ซัล วาทอร์เร่ เฟอร์รามาโม (Salvatore Ferragamo)
ห้อง Royal Suite มีความกว้างถึง 300 ตารางเมตร ประกอบด้วยสองห้องนอน, ห้องนั่งเล่นแยกต่างหาก, ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ครบครันและเคาน์เตอร์บาร์ พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอินและห้องน้ำที่มีห้องอาบน้ำและอ่างอาบน้ำแยกเป็นสัดส่วน
RESTAURANTS AND BARS
บริเวณสามชั้นสูงสุดคือชั้นที่ 55 – 57 ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB)เป็นพื้นที่ให้บริการห้องอาหารและบาร์ทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน เลานจ์ 1 แห่ง และบาร์ 2 แห่ง ออกแบบโดยอาฟโรโค่ AvroKO บริษัทชื่อดังระดับโลกด้านดีไซน์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มหานครนิวยอร์ค
- Bull & Bear (ชั้น 55)
- The Loft (ชั้น 56)
- The Champagne Bar (ชั้น 57)
และยังประกอบไปด้วยห้องอาหารอีก 3 ห้องคือ
- Front Room (Lower Lobby)
- The Brasserie (Upper Lobby)
- Peacock Alley (Upper Lobby)
Hotel Fact Sheet
ห้องพักและสวีท จำนวน 171 ห้อง บนชั้น 6-15
- ห้องดีลักซ์ เตียงเดี่ยว จำนวน 89 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร
- ห้องดีลักซ์ เตียงคู่ จำนวน 3 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร
- ห้องดีลักซ์ สำหรับผู้ใช้วีลแชร์ จำนวน 2 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร
- ห้องดีลักซ์ เตียงเดี่ยว บนชั้นสูง จำนวน 33 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร
- ห้องดีลักซ์ เตียงคู่ จำนวน 9 ห้อง ขนาด 50 ตารางเมตร
- ห้องดีลักซ์ สวีท เตียงเดี่ยว จำนวน 22 ห้อง ขนาด 75 ตารางเมตร
- ห้องแอสโทเรียสวีท หนึ่งห้องนอน จำนวน 10 ห้อง ขนาด 100 ตารางเมตร
- ห้องวอลดอร์ฟสวีท สองห้องนอน จำนวน 2 ห้อง ขนาด 150 ตารางเมตร
- ห้องรอยัลสวีท สองห้องนอน จำนวน 1 ห้อง ขนาด 300 ตารางเมตร
สิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำกลางแจ้ง มีระบบควบคุมอุณหภูมิ
- วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย สปา
- ฟิตเนส สตูดิโอ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
- พนักงานคอนเซียร์จ
- อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วทั้งโรงแรม ให้บริการฟรี
- รถลิมูซีนรับส่งจากสนามบิน
Restaurant & Bar
ฟร้อนท์ รูม ( 80 ที่นั่ง ) : นำทีมโดยเชฟมากความสามารถ เชฟรุ่งทิวา ชุ่มมงคล หรือเชฟเฟ ผู้มีประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปี ในร้านอาหารระดับมิชลิน สตาร์ที่ประเทศเดนมาร์ก และประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป อาทิ ร้าน Frederikshoj และ The Bell Epoque ร้านอาหารชื่อดังที่ได้รับรางวัลมิชลิน สตาร์ 3 ดวง ในประเทศเยอรมันอีกด้วย
เชฟเฟ เป็นผู้นำในการรังสรรค์เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากการปรุงอาหารไทยด้วยวิธีแบบนอร์ดิก เป็นอาหารรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นการผสมผสานของรูปแบบอาหารที่ต่างกันหลายๆแนว ทั้งในแบบใหม่ และแบบดั้งเดิม แบบตะวันตกและตะวันออกของเอเชีย วัตถุดิบและส่วนผสมจากท้องถิ่นของไทยถูกนำมาใช้ ปรุงด้วยสไตล์นอร์ดิก เสิร์ฟในแบบทั้งเซตเมนู และอา ลา คาร์ท (จานเดี่ยว) ฟร้อนท์ รูม ยังมีค๊อกเทลเก๋ๆ ไวน์จับคู่กับอาหาร ในบรรยากาศสบายๆ แต่ทันสมัย ให้คุณพบกับประสบการณ์ใหม่ของอาหารและรับประทานอย่างเพลิดเพลิน
ห้องอาหารฟร้อนท์ รูม ถูกออกแบบอย่างทันสมัย โดยมีกลิ่นอายของความเป็นไทยอยู่ด้วย โทนการตกแต่งสีเป็นสีเทาปนสีเขียวมะนาวอมมัสตาร์ด ทำให้นึกถึงสีของเครื่องปรุงหลายชนิดของไทย ไฮไลท์ของห้องอาหารนี้คือโคมไฟขนาดใหญ่กลางห้อง สร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากการลอยโคม งานลอยกระทง เพิ่มเสน่ห์แห่งความเป็นไทยในห้องอาหารแห่งนี้
เดอะ บราซเซอรี ( 110 ที่นั่ง ) : ห้องอาหารที่เปิดให้บริการตลอดวัน ตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อค่ำ ในบรรยากาศสบาย ๆ เมนูอาหารของเดอะ บราซเซอรี่ ได้แรงบันดาลใจและเทคนิคการปรุงจากอาหารฝรั่งเศสแบบต้นตำรับ หากแต่ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลของท้องถิ่น พื้นที่ของเดอะบราซเซอรี่ มีรูปร่างเหมือนเกือกม้า ประกอบด้วยครัวเวสเทิร์น และเอเชียอยู่คนละด้านกัน โดยมีซุ้มอาหารปรุงสดอยู่ระหว่างกลาง
อาหารจานเด่นที่นี่ได้แก่ ผัดหอยแมลงภู่ (Sautéed Mussels), ชีสกามองแบร์อบ (Baked Camembert), สเต็กเนื้อเสิร์ฟคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ (Steak Frites) และ เนื้อตุ๋นสไตล์ฝรั่งเศส (Beef Bourguignon) นอกจากนี้ยังมีเบียร์และไซเดอร์ให้คุณเลือกเลือกมากมาย พร้อมชมวิวอันงดงามของกรุงเทพฯ
พีค็อก อัลเลย์ ( 70 ที่นั่ง ) : เป็นเลาจน์ที่เลื่องชื่อของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ให้บริการชุดชายามบ่าย และอาหารว่าง มีเมนูขนมอบโฮมเมดและเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นตลอดทั้งวัน พร้อมชมวิวสนามหญ้าที่เขียวขจีของราชกรีฑาสโมสร นอกจากนั้น ยังเสิร์ฟอาหารจานเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ซึ่งก็คือ วอลดอร์ฟสลัด (Waldorf Salad) และไข่เบเนดิกต์ (Eggs Benedict) อีกด้วย
ชื่อ “พีค็อก อัลเลย์” ถือกำเนิดขึ้นเพื่อสะท้อนภาพของทางเดินเชื่อมระหว่างโรงแรมวอลดอร์ฟและโรงแรมแอสโทเรีย ในมหานครนิวยอร์คสมัยก่อน ที่โดดเด่นสวยงามด้วยต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง พีค็อก อัลเลย์ คือสถานที่ที่คุณจะได้มาพบปะสังสรรค์กับผู้คน การตกแต่งภายในนั้นงดงาม หรูหรา แต่ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด ดีไซน์การตกแต่งนั้นมีการใช้ทองแดง ไม้สีอ่อน และเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส
บูลแอนด์แบร์ ( 80 ที่นั่ง) : โดดเด่นเรื่องเนื้อย่าง และอาหารทะเล มีเคาน์เตอร์ปรุงสดที่คุณสามารถเลือกให้ปิ้ง ย่าง อบ หรือรมควันได้ตามใจ
ด้านเมนูอาหารก็มีให้เลือกมากมาย อาทิ ปลาอบ, พอร์เตอร์เฮ้าส์สเต็ก (Porterhouse) ขนาด 1 กิโลกรัม หรือ สเต็ก ดราย เอจ 55 วัน (55-Day Dry Aged Steak) ด้วยการตกแต่งภายในสุดหรูหรา ในบรรยากาศ และทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้บูล แอนด์ แบร์ เป็นสถานที่สังสรรค์สุดสมบูรณ์แบบที่คุณจะเลือกเป็นสถานที่ในการดินเนอร์หลังเลิกงาน หรือพบปะสังสรรค์ ฉลองโอกาสพิเศษกับคนรัก ครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
ด้วยสไตล์การจัดวางที่นั่งแบบ อาร์ต เดโค (Art Deco) ที่หรูหราและสง่างาม เฟอร์นิเจอร์ทำจากทองเหลืองออกแบบเป็นรูปทรงเรขาคณิต บูล แอนด์ แบร์ สะท้อนภาพความอลังการของวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ได้อย่างดีเยี่ยม รูปปั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงบาร์ในร้าน เป็นแบบจำลองมาจากรูปปั้น บูล แอนด์ แบร์ ที่มีชื่อเสียง บนถนนวอลสตรีท นิวยอร์ค
เดอะ ล็อฟท์ ( 70 ที่นั่ง) : บาร์ที่ตกแต่งหรูหรา โรแมนติกไม่เหมือนใครในแนว อาร์ต นูโว (Art Nouveau) หรือศิลปะสมัยใหม่ มีทางขึ้นเป็นบันไดเกลียวอันวิจิตร โดยได้แรงบันดาลใจมาจากบาร์ในนิวยอร์ค ที่เดอะ ล็อฟท์ เรานำสูตรค็อกเทลสุดคลาสสิคจาก “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย บาร์ บุค” (Waldorf Astoria Bar Book) ที่มีต้นกำเนิดในปี พ.ศ 2478 มาประยุกต์ และใช้ส่วนผสมสูตรของเราเอง รังสรรค์เป็นค็อกเทลสมัยใหม่ เสิร์ฟคู่กับอาหารคำเล็ก ๆ
บาร์นี้ได้รับการตกแต่งในสไตล์โรแมนติกของอาร์ต นูโว จึงทำให้รู้สึกเสมือนเข้ามาในสตูดิโอของศิลปินในสมัยโบราณ เพื่อชมการทำงานของศิลปินตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องอาหาร การออกแบบในสไตล์ โซโห ลอฟท์ ทำให้กับพื้นที่ดูราวกับเป็นสถานที่ที่ศิลปินอิสระใช้เพื่อปลีกวิเวกเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน บนชั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดเขียนในสมัยโบราณ กล่องเหล็กใส่พู่กัน ที่เก็บอุปกรณ์ ดินสอสี ดินสอ สีน้ำ และขวดหมึก เลาจน์สำหรับสูบบุหรี่ที่อยู่ติดกัน ให้ความรู้สึกสบายและเป็นส่วนตัวสำหรับผู้สูบบุหรี่
เดอะ แชมเปญ บาร์ ( 34 ที่นั่ง ) : ยอดเพชรเม็ดงามบนชั้นสูงสุดของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ตกแต่งอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในรายละเอียด หรูหราด้วยโคมไฟแชนเดอเลียร์โบราณ รูปปั้นไม้ และเก้าอี้โยก ด้วยบรรยากาศและการตกแต่งสุดเอ็กคลูซีฟพร้อมแชมเปญ ค็อกเทลชั้นเลิศ ภายใต้การบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดสำคัญ และทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครยามค่ำคืนที่โดดเด่น แน่นอนว่าจะทำให้ เดอะ แชมเปญ บาร์ เป็นสถานที่ดื่มยอดนิยมของกรุงเทพฯ อย่างปราศจากข้อสงสัย
Spa
วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย สปา เป็นสปาที่มอบความเป็นส่วนตัว เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายภายนอก มีโปรแกรมที่ผสมผสานปรัชญาการบำบัดแบบไทยและเทคนิคร่วมสมัย และยังมีผลิตภัณฑ์สปาซึ่งผลิตจากวัตถุดิบในท้องถิ่นที่คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม
วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย สปา เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ให้บริการการบำบัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ดูแลผิวหน้าและผิวกาย นวดผ่อนคลาย โดยเทอราปิสผู้เชี่ยวชาญ และยังมีโปรแกรมบำบัดสำหรับสุภาพบุรุษอีกด้วย
สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ที่ควบคุมอุณหภูมิน้ำ และพูลบาร์ ตั้งอยู่ติดกับสปา และยังมีฟิตเนสสตูดิโอ ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ผู้เข้าพักได้ออกกำลังกายและผ่อนคลายตลอดทั้งวัน